วันอังคารที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2560

In- depth La Sportiva Akasha Review : My Favorite trail running shoes of the year !




ในบรรดารองเท้าเทรลทั้งหมดที่วางอยู่ในตู้รองเท้า คู่ที่รักที่สุดก็คือคู่นี้ La Sportiva Akasha !

La Sportiva เป็นแบรนด์ outdoor จากอิตาลี ที่ทำอุปกรณ์ outdoor ทั้งรองเท้าปีนเขา เดินป่า วิ่งเทรล และสกี โดยเฉพาะรองเท้าที่มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 90 ปี ประวัติของแบรนด์นี้อ่านแล้วก็ทึ่ง เริ่มต้นมาจากหมู่บ้านเล็กๆในเมือง Ziano di Fiemme ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขา Dolomites ที่อยู่ทางภาคเหนือของประเทศอิตาลี เป็น all handcrafted materials ที่มาจากผู้เชี่ยวชาญก็คือ คนบนเขาแท้ๆ จะเรียกว่าเป็น OTOP ของอิตาลีเลยก็ว่าได้



จากการไปอ่านรีวิวเรื่อยเปื่อยก็เกิดสนใจขึ้นมาจริงๆ แบรนด์นี้ทำแต่รองเท้าเทรล และมีหลายรุ่นมากๆ จนมาสนใจอยู่รุ่นหนึ่งชื่อเท่มากๆ ก็คือ Akasha คำว่า Akasha เป็นภาษาสันสกฤตแปลว่า ท้องฟ้า ใครๆก็ชมว่าเป็นรองเท้าเทรลที่ดีมากๆแถมมี Anton Krupicka เป็นBrand ambassador ให้ด้วย แต่ปัญหาใหญ่ที่เป็นปัญหาระดับชาติของนักวิ่งสายอุปกรณ์ทุกคนก็คือ ณ ขณะนั้น แบรนด์นี้ไม่มีขายในไทย...(ตอนนี้ Rev Runnr เอาเข้ามาขายแล้วค่ะ แต่ไซส์ผู้หญิงเอามาแต่ขนาดเล็ก เราใส่ไม่ได้สักคู่ เสียใจๆ )ลองหาๆดูก็เจอราคาดีงามจากอเมริกา จนในที่สุดก็ได้มาครอบครอง
Akasha จัดเป็นรองเท้าเทรลประเภท neutral คือเท้าปกติ อยู่ในกลุ่ม Cushioning คือ พื้นหนา STACK: Heel - 26mm / Toe - 20mm DROP: 6mm มีเทคโนโลยีต่างๆดังนี้


1. Upper La Sportiva ออกแบบโดยใช้ AirMesh upper ที่ระบายอากาศได้ดี เลอะยาก โดยมีหนัง PU leather หุ้มตรงส่วนปลายเท้าเป็นเส้นๆริ้วๆเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของตัวผ้าไม่ให้ย่นไปมา ตรงส่วนปลายเท้าถูกออกแบบมาให้เป็น Rubber toe cap มีลักษณะเป็นยาง ช่วยป้องกันปลายเท้าเวลาเผลอไปเตะอะไรเข้าระหว่างวิ่ง ตรงกลางของรองเท้าจะมีแผ่น PU leather ขึ้นลายสวยงามหุ้มไปจนถึงส่วนของส้นเท้า ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และทำให้รู้สึกกระชับที่ข้อเท้ามากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยี ProTechTion™ reinforcements และ STB Control System ที่ช่วยในเรื่อง stability เท้าไม่ไถลไปมา ทำให้เราวิ่งได้อย่างมั่นใจ
ส่วนของลิ้นรองเท้าทำมาได้หนานุ่มมากๆ วัสดุที่ใช้ยังป้องกันไม่ให้เศษดินทรายเกาะได้ง่าย ตัวเชือกรองเท้าเป็นอะไรที่เราชอบ เพราะนุ่มมากกกก แถมยังล็อคได้ดีงาม มัดเชือกแล้วไม่มีเคลื่อนเลย

2. Midsole ประกอบด้วยสองส่วนด้วยกันคือ Dual-injection shock absorbing MEMlex EVA และ Cushion Platform™ midsole ค่อนข้างหนาเพื่อช่วยในการดูดซับแรงกระแทก อีกทั้งยังช่วยให้วิ่งสบายเท้าในวันที่ต้องวิ่งยาวๆ ตัวInsole เป็นแผ่น Ortholite เหมือนกับ Salomon ที่เคลมว่าระบายอากาศได้ดีไม่เหม็นอับ อายุการใช้งานก็คงทน

3. Outsole มาถึงส่วนที่เป็นพระเอกของรองเท้าคู่นี้ จริงๆก็เป็นจุดเด่นของ La sportiva ทุกคู่ คือ การออกแบบ Outsole ที่มี grip ที่เรียกได้ว่า aggressive design ทุกคู่เลย outsole ของ Akasha ใช้เทคโนโลยี Trail Rocker™ with Impact Brake System™ ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพของเท้าจากส้นเท้าจนถึงปลายเท้าเวลาเราวิ่ง ตัวoutsoleยังใช้เทคโนโลยี FriXion® XT ที่เป็นแผ่นยางเหนียวๆช่วยในการยึดเกาะทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะแห้งหรือเปียก ตัว Grip หนา 6 มิลลิเมตร ออกแบบมาได้ดีมากๆ คือ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องเกาะเหนียวแน่นหนึบแน่ๆ








มาถึงการใช้งานจริงๆกันบ้าง ต้องขอเล่าตอนที่เห็นรองเท้าตัวจริงครั้งแรก ถึงกับกรี๊ดเบาๆ มันสวยมากกกก มันถูกออกแบบมาอย่างดี ทั้งรูปทรง สี วัสดุที่ใช้ งานดีงานพรีเมี่ยมมากๆเลยค่ะ ตั้งแต่ช็อปปิ้งรองเท้าเทรลมา เราว่า La sportive ทำรองเท้าออกมาได้งานดีที่สุดแล้ว

ความรู้สึกที่ใส่คู่นี้เป็นครั้งแรกคือ มันนุ่มกว่าที่คิดไว้มาก เห็นออกแบบดูเป็นรองเท้าเทรลจ๋าแบบนี้ แต่กลับใส่สบายมากๆ ที่สำคัญคือ มันเป็นรองเท้าเทรลคู่แรกของเราเลยที่ให้ความรู้สึก แน่น หนึบ กระชับ ดูจริงจังสุดๆ ตรงส่วนข้อเท้ารู้สึกกระชับมากๆเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่า รองเท้ามันหุ้มเท้าเราอย่างแน่นหนาที่สุดไม่มีหลุดแน่นอน ซึ่งไม่เคยเจอในรองเท้าเทรลคู่ไหนมาก่อนเลย พอเอาไปลองทางเทรลแถวบ้านที่หินคมๆเยอะ ปรากฏว่าวิ่งใส่ได้เลยไม่เจ็บฝ่าเท้า ในขณะเดียวกันก็ยังพอได้ feeling ของพื้นผิวสัมผัสอยู่ ไม่หนาจนเกินไปนัก เห็น grip เยอะๆแบบนี้ เอามาลองวิ่งถนนก็ทำได้ดี มันนุ่มพอที่จะใส่วิ่งถนนได้ ไม่ต้องเกร็งฝ่าเท้า พื้นที่หนา ซัพพอร์ตเยอะ วิ่งระยะไกลๆได้สบายๆเลยค่ะ

ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นรองเท้าเทรลที่เป็นเทรลจริงจัง เราเลยเลือก Akasha คู่นี้ไปวิ่ง 70 กิโล งาน CM6 ที่เชียงใหม่ที่คาดการณ์ไว้ว่าต้องเจอทาง technical terrain แน่นอน และมันก็ไม่ทำให้ผิดหวัง งานนี้เจอทุกรูปแบบทั้งหิน ทั้งตอไม้ ดินทราย ดินเหนียว ไปจนถึงทางถนน จนกระทั่งฝนตกจนพื้นเละๆ Akasha ก็เอาอยู่ มีหลายครั้งที่เหม่อๆวางเท้าผิดจนเซจะล้ม แต่มันก็ไม่ล้มเลย ตัว grip ทำงานได้ดีมากๆ จะวางเท้ายังไงก็เอาอยู่หมด ตอนไต่เขาก็ช่วยยึดเกาะพื้นได้ดี ทำให้เราสามารถวางเท้าส่งแรงโดยไม่ลื่นไถลเลย แม้ว่าจะมาลื่นๆเอาตรงทาง downhill ช่วงท้ายๆตอนกลางคืนที่ฝนตกหนักๆ เป็นบ่อโคลนที่เละขั้นสุด ซึ่งเราคิดว่า ไม่ว่ารองเท้าคู่ไหนก็คงลื่นหมดในสภาพนั้น สุดท้ายมันก็พาเราวิ่งจบ CM6 คือรู้สึกดีใจจริงๆที่เลือกคู่นี้มาวิ่ง เป็นความประทับใจส่วนตัวเลยกับ Akasha



อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องชมก็คือ สภาพรองเท้าหลังวิ่งเสร็จ เจอทั้งโคลนทั้งฝน grip ก็จิกพื้นไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่พอซักแล้ว สภาพคือ ใหม่กิ๊กเหมือนเดิมเด๊ะ ตัว grip แทบไม่มีร่องรอยการใช้งานเลย คือ วัสดุดีแข็งแรงทนทานจริงๆ



มาถึงส่วนที่คิดว่าต้องปรับปรุงกันบ้าง อย่างแรกเลยคือ

1. ไซส์รองเท้า รองเท้าทุกคู่ของ La sportiva​ จะมีขนาดเล็กกว่าปกติเล็กน้อย อย่าง Akasha ที่ว่า หน้ากว้างที่สุดของแบรนด์แล้ว เราคิดว่าอาจยังต้องเผื่อไซส์ไปอีกครึ่งเบอร์ถึงจะใส่สบายที่สุ

2. ราคา ราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับรองเท้าเทรลทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับคุณภาพของรองเท้าแล้ว ยังไงก็ต้องยอม ของเค้าดีจริงๆ แต่ถ้าจะลดราคาลงหน่อยจะดีงามกว่านี้มาก

3. หาซื้อในเมืองไทยยาก ตอนนี้ Rev Runnr นำเข้ามาขายแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายคงไม่มีปัญหา แต่อย่างที่บอกไปตอนแรก ไซส์ผู้หญิงมีจำกัด มีแต่คู่เล็กๆ เราใส่ไม่ได้เลย คงต้องรอให้เขาเอาคู่ใหญ่เข้ามาขาย ถึงจะซื้อในไทยได้ 


สรุป ทุกอย่างใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งการออกแบบ วัสดุ ทำออกมาได้ลงตัวและงานดีงานพรีเมี่ยมมากๆ ส่วนของการใช้งาน ไม่ว่าทางจะเป็นสภาพแบบไหนก็พาไปได้หมด ลุยได้ทุกสถานการณ์ ยกให้เป็นรองเท้าเทรลที่ดีที่สุดสำหรับเราในปีนี้เลย รักจริงๆเลยคู่นี้


วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560

CM6 2017 70+7k It’s going to be hard but hard is not impossible! 5/7/2017



ตั้งแต่วิ่งรายการ The Northface 100 2017 ระยะ 50 กิโลจบไปตอนต้นปี ก็ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะลงแต่รายการเทรล ส่วนใหญ่รายการวิ่งเทรลมักอยู่ช่วงปลายปีหมดฝนอากาศเริ่มเย็น มองหารายการที่อยู่ช่วงกลางปีมีไม่มาก หนึ่งในตัวเลือกนั้นคือ CM6 รายการนี้จัดที่เชียงใหม่ช่วงเดือนสิงหาคม ให้วิ่งเล่นกันอยู่บนดอยปุยดอยสุเทพ จากที่เคยไปวิ่งรายการ The Navigator Thailand มาก่อน มีความประทับใจในป่าเชียงใหม่มากๆ ช่วงเวลาจัดงานก็ลงตัวที่สุด แถมยังมีสนามกอล์ฟมากมายให้พี่หนุ่ยเล่น เมื่อพี่หนุ่ยอนุญาต สุดท้ายเหลือแค่การตัดสินใจว่าจะลงระยะไหน... ถ้าเป็น ultra จะมีทั้งหมด 3 ระยะ คือ 42 กิโล 70 กิโล และ 130 กิโล ด้วยความที่เคยจบ 50 กิโลมาแล้ว เลยอยากจะท้าทายตัวเองมากขึ้น คิดสะระตะ สุดท้ายก็เลือกที่ลงวิ่งในระยะ 70 กิโล รายละเอียดของระยะ 70 กิโลนี้ จริงๆแล้ววิ่งทั้งหมด 74 กิโล! ความชันสะสมทั้งหมด 4120 เมตร คิดง่ายๆว่า วิ่งขึ้นเขาอย่างเดียวเป็นระยะทางรวมกัน 4 กิโลเมตร ประมาณนั้นเลย cut off คือ 19 ชั่วโมงถ้วน... 19 ชั่วโมงฟังดูนาน แต่จริงๆแล้ว เมื่อดูความชันและสภาพอากาศช่วงนั้นที่อาจเจอฝนตก มันไม่ได้นานอย่างที่คิดเลย

แผนที่ที่ต้องวิ่ง

กราฟความชันและ cut off


เวลาซ้อมทั้งหมดมีประมาณ 5 เดือน ไม่มากไม่น้อย ตั้งแต่จบ The Northface ก็พบจุดอ่อนหลายอย่างที่จะเอามาปรับปรุงแผนการซ้อม ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Hill Repeats, Drills เพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการฝึกเป็น Powerful Walker ทุกอาทิตย์ของการซ้อมเราจึงต้องวิ่ง Hill Repeats แบบเต็มๆ สัปดาห์ละครั้ง เอาเข้าจริงแล้ว ด้วยความที่บ้านอยู่บนเขา วิ่งยังไงก็ต้องเจอเนิน ความรู้สึกที่ว่าเจอเนินแล้ววิ่งเข้าใส่เลย นี่เจอทุกวันจนชิน ช่วงที่ฟิตมากๆ ก็ฝึก Intervals กับเนินบ้าง หรือคุมเพซวิ่งขึ้นเนินยาวๆให้ไม่เกินเพซ 6 มาถึงช่วงสองเดือนสุดท้ายก็มาซ้อมวิ่งระยะทางจริง คือ 70 กิโล วิ่งวนไปวนมาอยู่คนเดียวแถวปากช่อง การซ้อมยาวครั้งนั้นผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอาการบาดเจ็บ เดือนสุดท้ายจึงเป็นการเก็บตัวรักษาความฟิต เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็มาถึงเดือนสิงหาคม...

ปกติเราเป็นคนไม่ชอบวางแผนการวิ่งอะไรเป๊ะๆ เช่นว่า จะต้องถึงจุดนั้นจุดนี้ภายในเวลาเท่าไหร่ เป็นคนเจอสถานการณ์จริงแล้วปรับตัวไปตามนั้น โดยมีเงื่อนไขว่า ทำให้เต็มที่เท่านั้น งานนี้ก็เช่นกัน การวางแผนของเราก็ไม่ซับซ้อน คำนวณเวลา cut off วางแผนการกินระหว่างทาง จุด check point, drop bag ไปจนถึงการวางแผนการวิ่งเมื่อฝนตก งานนี้เริ่มต้นวิ่งและจบที่ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ วิ่งไปตามจุด checkpoint ต่างๆ โดยมี headquarter อยู่ที่โรงเรียนศรีเนรูห์ เป็นที่เดียวที่ให้ทิ้ง dropbag ไว้ได้ เราจะวิ่งไปมาๆโดยผ่านจุดนี้อยู่ 3 ครั้ง ก่อนวิ่ง ด้วยความที่เคยได้ยินได้ฟังถึงความขลังของป่าดอยสุเทพดอยปุยมามาก งานนี้ต้องวิ่งกลางคืนหลายชั่วโมง คืนก่อนวิ่งเลยนั่งสมาธิตามปกติ แล้วแผ่อุทิศบุญพร้อมกับบอกเจ้าป่าเจ้ารูปนามต่างๆเขาบนดอยสุเทพดอยปุยว่า วันพรุ่งนี้จะขอมาวิ่ง ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี



วันวิ่งเราตื่นก่อนตี4 เล็กน้อย เตรียมตัวอะไรเสร็จก็ถึงงานประมาณตี 5 ช่วงนั้นกำลังปล่อยตัวระยะ 130 กิโลพอดี บรรยากาศคึกคักมากๆ ช่วงรอก็วอร์มอัพไปคุยกับพี่หนุ่ยไป จนถึงเวลาปล่อยตัว พี่หนุ่ยอวยพรว่า ทำได้อยู่แล้ว ขอให้โชคดีวิ่งจบสวยๆ โดยที่วางแผนกันว่า พอถึง 50 กิโลแล้วจะโทรหา จะได้กะเวลามารับถูก ระยะ 70 กิโลนี้ มีนักวิ่งทั้งหมด 196 คนถ้วน ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นเคย พอถึงเวลาก็พากันวิ่งออกจากเส้นชัย ตามแผนที่แล้ว 10 กิโลแรกคือ ไต่เนินยาวๆไปจนถึง Headquarter ตรงนี้มี cut off ด้วยนะ คือ 2.45 ชั่วโมง เราออกตัวสบายๆ คุมไว้ไม่เร็วเกินเพซ 6 ครึ่ง ไต่เนินที่เป็นถนนลาดยางไปเรื่อยๆก็มาถึงวัดป่าที่อยู่ริมเขา ที่จะต้องวิ่งผ่านไป ช่วงนั้นก็จะเข้าทางเทรล เป็น single track ที่พอมีจุดแซงกันได้เล็กน้อย ทางมีทั้งหินลอย รากไม้ ดินชื้นๆที่อุ้มน้ำไว้ บางช่วงก็ชัน เลยหยิบ trekking poles มาใช้เลย วันนั้นอากาศชื้นอบอ้าว พอต้องวิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วแทบไม่มีลมพัด นักวิ่งแต่ละคนก้มหน้าก้มตาไต่เขากันอย่างเอาเป็นเอาตาย เราไม่กล้าพักนาน พอครบ 1 ชั่วโมงก็หยิบเจลมาทานตามกำหนดเวลา จนมาพ้นเขต single track ก็เป็นถนนดินแดง ช่วงนี้พอหายใจหายคอได้สะดวกและทำความเร็วได้บ้าง เราเริ่มชินทางเพราะเคยว่าวิ่งตอนงาน The Navigator ด้วยความที่ต้องไต่เขาตลอด แค่ 10 กิโลแรกก็กินแรงไปมากมาย จนมาถึง Headquarter ใช้เวลา 2.11 ชั่วโมง เข้าก่อน cut off ไปประมาณ 30 กว่านาที ตอนนั้นแหละที่เพิ่งรู้ตัวว่า ตัวเลข cut off กับระยะทางนี่บีบคั้นหัวใจนักวิ่งน่าดู 


ที่ Headquarter เราเติมน้ำ หาอะไรทาน ใช้เวลาไม่นานก็รีบวิ่งออกไป เจออาสาสมัครบอกว่า เดี๋ยววิ่งขึ้นดอยปุยนะครับ อากาศดีครับ ตอนนั้นหัวเราะในใจ อากาศน่ะดีจริง แต่ทางชันมาก จำได้เลย แล้วก็ตามสภาพ การไต่สันเขาดอยปุยที่ชันจนต้องแหงนหน้ามองคอตั้ง ฝั่งขวามือคือหุบเขาที่วิวสวยมาก หมอกลอยไปลอยมา ทำได้แค่ชะโงกหน้ามองเท่านั้น ตอนนั้นเจอนักวิ่ง 130 กิโลบางคน เพื่อนนักวิ่งแต่ละคนพากันโอดครวญถึงความชันที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เราได้แต่กัดฟันปัก poles ส่งแรงไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ผ่านพ้นมาได้ พอพ้นยอดดอยปุยแล้ว ก็เป็นทางลงเนินยาวๆที่เจอถนนลาดยาง เราชอบมากกกกก เพราะทำความเร็วได้ ช่วงนี้วิ่งลงเนินยาวๆ เพซ 5 เลย รู้สึกลันล้าสุดๆ ช่วงนี้แซงนักวิ่งไปได้หลายคน จนมาถึงจุดให้น้ำที่ 1 เป็นคุณลุงชาวเขามาช่วยเป็นอาสา คุณลุงน่ารักมากๆ ช่วยเติมน้ำ ช่วยให้กำลังใจ จนต้องยกมือไหว้ขอบคุณ จากนั้นก็วิ่งรัวๆเข้าไปในหมู่บ้านม้ง ทะลุผ่านเข้าไปในสวน ทางช่วงนี้จะเป็นถนนคอนกรีตแข็งๆที่ทำเป็นเส้นสองเส้นให้ล้อรถผ่านได้ เว้นตรงกลางไว้ เราทำเวลาช่วงนี้ได้ดี วิ่งมากกว่าเดิน ทางจะผ่านบ้านชาวบ้านที่อยู่ในสวน อากาศโล่งๆสบายๆไม่มีแดด ปลายทางต่อไปคือจุด A1 ที่หมู่บ้านผานกกก ก่อนถึงจุด A1 ต้องไต่เนินยาวมากๆ เริ่มสวนทางกับนักวิ่งคนอื่นๆที่วิ่งย้อนกลับมา มียิ้มให้กันโบกมือทักทายกันไป พอมาถึง A1 ก็อยู่ในสภาพระโหยโรยแรง ระยะทางได้ 30 กว่ากิโลแล้ว จุดนี้จะเป็นจุดพักใหญ่อีกที่หนึ่ง เรารีบเติมน้ำ หยิบข้าวเหนียวหมูปิ้งมาทาน เพราะเป็นช่วงเที่ยงพอดี คิดว่าคงเป็นอาหารมื้อเดียวที่ได้ทานตลอดรายการนี้ จากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ออกจากจุด checkpoint วิ่งลงเนินยาวๆไปเรื่อยๆเพื่อไปสู้เป้าหมายต่อไปคือ จุดให้น้ำที่ 2 ที่อยู่ห่างไปอีกเกือบ 10 กิโล โดยมีระยะเวลา cut off 10 ชั่วโมง คือ เราต้องไปถึงที่นั่นก่อน 4 โมงเย็น


วิ่งบนดอยปุย

ทางช่วงนี้ไม่ยากไม่ง่าย แต่เราชอบที่สุดเพราะวิ่งแล้วสบายใจ อากาศโล่งๆ ทางจะเป็นทางเข้าไร่ชาวบ้านม้ง เป็นดินแดง สลับกับคอนกรีตเป็นเส้นๆ มีผ่านเข้าป่ารกๆสลับกันไป ตรงป่าอากาศชื้นอบอ้าวมากๆ เราเจอตัวทากกระโดดใส่ด้วย แต่ดันกระโดดเกาะที่ poles เลยเขี่ยๆไป ช่วงที่วิ่งผ่านสวนชาวบ้าน มีผ่านเข้าไปในสวนต้นพลับกับไร่กุหลาบด้วย บรรยากาศดี วิ่งเพลินๆ แต่จู่ๆ นาฬิกาก็ดังติ๊ดๆ storm alarm ดัง! เงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนั้นฟ้าก็ยังใสๆดีอยู่ แต่นาฬิกาตัวนี้ มี barometer วัดความกดอากาศในตัว คือถ้าความกดอากาศเปลี่ยนแปลงไปมากๆ ท่าทางจะมีฝนก็จะส่งสัญญาณเตือน และแล้ววิ่งไปสักพัก ฝนก็ตกลงมาจริงๆ เมฆฝนไม่รู้ลอยมาจากไหน ลงหนาเม็ดจนเราต้องหยุดหยิบเสื้อกันฝนมาใส่ แต่เหมือนโดนแกล้ง พอหยิบเสื้อมาใส่ ฝนก็ค่อยๆซาลง จากนั้นเลยคิดว่า จะไม่ใส่เสื้อกันฝนอีกแล้ว ถ้าไม่ได้เจออากาศหนาวจริงๆ จุดให้น้ำที่ 2 นี้ ตามแผนที่คืออยู่ที่กิโลที่ 40 จนวิ่งเลยกิโลที่ 40 ไปแล้วก็ยังไม่มีวี่แววจะเจอจุดให้น้ำเลย ในใจตอนนั้นคิดว่า สงสัยโดนแถมระยะแน่ๆ นักวิ่งที่วิ่งมาด้วยกันยังคุยกันว่า สงสัยจะไม่มีแล้ว ปรากฏว่า จุดให้น้ำที่ 2 มาอยู่ที่กิโลที่ 43 คือ โดนแถมไป 3 กิโลถ้วน แสดงว่าต่อจากนี้ จุดต่างๆในแผนที่จะถูกบวกเพิ่มไปอีก 3 กิโล !  ที่จุดให้น้ำนี้มีคุณลุงม้งกับเด็กๆมาช่วยเติมน้ำ น่ารักมากๆ เติมน้ำเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ตอนนั้นผ่านไป 8 ชั่วโมงกว่าๆ เป็นเวลา 2 โมงครึ่ง เราเข้าก่อน cut off ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เป้าหมายต่อไปคือ วิ่งกลับ Headquarter โดยจะต้องไปถึงที่นั่นภายในเวลา 18.15 น.


ทางช่วงนี้เป็นถนนดินแดงชื้นๆ มีบางช่วงเละๆเพราะฝนตก ไต่เขาลงเขาไปเรื่อยๆ เราก็ค้นพบเคล็ดลับบางอย่าง ก่อนจะวิ่งรายการนี้ เราไปดูวิดีโอเคล็ดลับการเดินขึ้นเขาของ Elite ชาวอเมริกาคนหนึ่งมา เขาแนะนำว่า เวลาเดินขึ้นเขา ให้พยายามจัดฟอร์มใหม่ ให้โน้มตัวไปข้างหน้ามากๆ แล้วเอามือวางที่ต้นขาดันตัวขึ้นไป โน้มมากขนาดที่ว่าเหมือนกำลังหากุญแจที่ตกหายตอนวิ่ง อาจดูประหลาดไปนิด แต่มีประสิทธิภาพมาก ช่วงที่ผ่านมา เราก็พยายามทำ แต่เพราะต้องถือ poles ด้วย เลยไม่สะดวกก้ม เราเลยลองเก็บ poles ปรากฏว่า ทำเวลาเดินขึ้นเขาได้ดีกว่าเดิมมาก เวลาเจอเนินที่ไม่ชันมาก หรือไม่ยาวมาก เราจะไม่ใช้ poles เลย ก้มตัวเดินงุดๆ จนพี่ที่วิ่งตามหลังมายังพูดกับเราหลังจากถึง headquarter ว่า น้องเดินขึ้นเนินได้เร็วมากๆ โถ แต่ทำไมเพิ่งมาต้นพบเอาตอนผ่านไปเกินครึ่งทางแล้วก็ไม่รู้ ในที่สุดเราก็พาตัวเองมาถึง headquarter ตอน 5 โมงเย็น ก่อนเวลา cut off ชั่วโมงนิดๆ ตอนนั้นได้ 53 กิโลแล้ว ใช้เวลาไป 11 ชั่วโมง ในใจก็คิดว่า เหลืออีก 20 กิโลนิดๆ น่าจะจบภายใน 16-17 ชั่วโมง ที่ไหนได้... หารู้ไม่ ว่าหนังชีวิตที่แท้จริงคือ ช่วง 20 กิโลสุดท้ายนี่แหละ


ยังยิ้มอยู่ ไม่รู้ตัวว่ากำลังเจอหนังชีวิต!

ตอนที่มาถึง headquarter เรารีบคว้าสับปะรดเข้าปาก เติมน้ำ แล้วรีบไปต่อเลย เพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ รู้สึกว่าต้องรีบ เป้าหมายต่อไปคือจุด A2 อยู่ที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ทางตามแผนที่คือ ทางลงเขาอย่างเดียว ความชันประมาณ 1000 เมตร จากที่รีบๆเจอทางไปแล้วถึงกับต้องชะลอความเร็ว ลองนึกภาพทางวิ่งที่เป็น single track ทางให้วิ่งมีประมาณไม่เกิน 1-2 ศอก สภาพเป็นร่องเขา มีทั้ง หิน รากไม้ ตอไม้ บางช่วงเป็นร่องตัววี ที่หาที่วางเท้าลำบาก สภาพคือ technical terrain ที่ชัน เป็นอะไรที่เราไม่ชอบและไม่ถนัดที่สุด ! เลยได้แต่กระดึ้บๆลง ทำความเร็วไม่ได้เลย ระหว่างทางสวนนักวิ่งหลายคนทั้งระยะ 70 และ 130 หน้าตาแต่ละคนบอกบุญไม่รับอย่างแรง นี่มองเห็นอนาคตตัวเองเลย ลงว่ายาก ขาขึ้นนี่ไม่ต้องพูดถึง แถมใกล้มืดแล้วด้วย ช่วงนั้นโดนหลายคนแซงไป เราก็ให้เขาแซงหมด นี่ขนาดระวังๆแล้ว ยังเจออุบัติเหตุจนได้ มีช่วงหนึ่งที่มีตอไม้ขวางอยู่ พอปีนขึ้นไปเลยกระโดดเอาเท้าขวาลงมา มองไม่เห็นว่าข้างล่างมีก้อนหินอยู่ เท้าเราเตะลงไปที่ก้อนหินเสียงดังปั๊กเลย เจ็บจี๊ดๆ แต่ก็ยังไม่กล้าพักดูสภาพเท้า ตอนนั้นวัดใจเลย ถ้าไม่เจ็บมาก มันจะหายไปเอง โชคดีที่มันหายเจ็บไปเองจริงๆ ระหว่างทางเราปลอบใจตัวเองเป็นพักๆ จนในที่สุดก็มาถึงถนนลาดยางเส้นใหญ่ที่ต้องข้ามไป ก็จะเข้าไปเขตที่เป็นแม่น้ำมีแก่งหิน ต้องวิ่งบนก้อนหินใหญ่ๆนั่นแหละ ต้องกระโดดข้ามน้ำด้วย ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึง A1 จนได้ กับระยะทาง 7 กิโล ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง ถึงตอนเวลา 1 ทุ่มพอดี เข้าก่อน cut off 1 ชั่วโมง 15 นาที


จุดนี้เราใช้เวลานิดนึงในการทานขนมปัง ทานน้ำผึ้งหลอดที่พกแทนเจล และแล้วก็คว้า poles วิ่งออกไป เป้าหมายต่อไปคือ headquarter ที่เดิม คือ ต้องวิ่งทางเดิมที่วิ่งลงมานั่นแหละ แต่เป็นการขึ้นล้วนๆ และตอนนั้นก็มืดแล้วด้วย ตอนนั้นรู้เลย หนังชีวิตของจริงกำลังจะมาละ ก่อนขึ้นเนินเพิ่งขึ้นได้ว่าต้องโทรหาพี่หนุ่ย เพราะตอนแรกบอกว่าจะโทรตอน 50 กิโล นี่รีบมากจนไม่มีเวลาโทร เลยได้มาโทรตอน 60 กิโลแทน บอกพี่หนุ่ยว่า เหลือ 17 กิโล เวลาน่าจะ 4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ยังไงไม่ต้องรีบมา ถ้าเข้าเส้นชัยแล้วจะโทรบอก ยังจำเสียงถอนหายใจด้วยความสงสารจากพี่หนุ่ยได้อยู่เลย 55555  ระยะทางที่ต้องไต่กลับขึ้นเขาคือ 7 กิโล แค่ 7 กิโลเท่านั้น แต่เป็น 7 กิโลที่สาหัสสากรรจ์มากๆ ตั้งแต่วิ่งมา ขอยกให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดเลย ทั้งมืด ชัน ลื่น อุปสรรคทุกอย่างมาเต็ม ก้อนหิน ตอไม้ ขอนไม้ และ ฝน... อยู่ดีๆฝนก็ตก ตกหนาเม็ดด้วย ทางเดิมที่ลื่นอยู่แล้ว ยิ่งลื่นมากๆๆๆ ไปอีก บางช่วงนี่เละเป็นโคลนเลย ตอนนั้นเหนื่อยมากกกก มีความท้อแท้สิ้นหวัง เพราะเงยหน้ามองไปมีแต่ทางชันๆข้างหน้าไม่มีหมดเลย แต่จะถึงเหนื่อยยังไงเราก็ไม่กล้าหยุดพักนาน พักนานสุดไม่เกิน 10 วินาที ความดราม่ายังไม่หมด เมื่อเรามัวแต่มองหาป้ายสัญลักษณ์ เลยมองไม่เห็นตอไม้ที่โผล่อยู่กลางทางวิ่ง เลยสะดุด สะดุดแรงมากจนล้ม ล้มแบบหงายหน้าลงไปเลย จังหวะนั้นปฏิกิริยาเรายังเร็วใช้ได้ เลยเอามือยันพื้นไว้ เลยมีมือและเข่าที่กระแทกพื้น โชคดีมากๆที่พื้นดินเป็นโคลน เลยไม่เจ็บมาก โชคดียิ่งกว่านั้นว่า จุดที่ล้มไม่มีหิน หรือตอไม้อยู่ มันอยู่ห่างจากขอนไม้แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ถ้าล้มช้ากว่านี้อีกนิด หัวฟาดขอนไม้แน่ๆ ตอนนั้นสำรวจตัวเองลวกๆ ส่องไฟดูมองไม่เห็นแผล เลยรีบปีนเขาต่อ มาเจอเพื่อนร่วมทางเป็นพี่ผู้หญิงกับผู้ชายอีกคน พี่ผู้หญิงไต่แซงเราไปก่อน แต่พี่ผู้ชายไม่ยอมแซง พี่เค้าบอกว่า ไม่ต้องรีบ เพราะทางอันตรายมาก เจ็บมาไม่คุ้ม ไม่ทันก็ไม่เป็นไร จนน่าจะเริ่มท้อแท้ บอกว่า ถ้าขึ้นไปถึง headquarter พี่จะหยุด ไม่ไปต่อละ เราได้แต่ให้กำลังใจพี่เค้าว่า เหลือแค่ 10 กิโลเอง อีก 10 กิโลเท่านั้น เรามาจบด้วยกันเถอะค่ะ จนเหมือนพี่เค้าช้าๆไป เราไม่ได้รอ เพราะตอนนั้นกลัวไม่ทัน cut off จริงๆ


เรามีเวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง 45 นาที กับ 7 กิโลหฤโหด คือ ต้องไปถึงข้างบนเขาก่อน 4 ทุ่ม 45 นาที แต่ไม่รู้ว่าไปจำยังไงว่า cut off คือ 4 ทุ่ม 15 นาที ตอนนั้นกังวลมากว่าจะไม่ทัน เพราะมันเร่งความเร็วไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดแค่ห้ามหยุด ต้องเดินต่อเท่านั้น ตอนที่ท้อแท้มากๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ตั้งแต่เล็กจนโต เรามีอย่างหนึ่งที่ทำได้ดีมาตลอด นั่นคือ การอดทน แม่กับพี่หนุ่ยรู้ดีว่า เราอดทนมากขนาดไหน คือ ถ้าเราคิดว่าเราทนไหว และเลือกที่จะทนแล้ว เราจะทนมันถึงที่สุด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ก็แค่ทำเรื่องที่ถนัดเท่านั้นเอง คิดได้แบบนี้มันก็ผ่อนคลายลง อาศัยการควบคุมลมหายใจช่วย บวกกับการรู้สึกตัวไปกับจังหวะการเคลื่อนไหวตามที่เคยทำจนชำนาญเวลาปฏิบัติธรรม มันฟุ้งมากก็คุยกับตัวเอง ไปๆมาๆก็เห็นแสงไฟของโรงเรียนศรีเนรูห์ลอดชายป่ามา โอ้โห นาทีนั้น ดีใจมากๆ รีบวิ่งขึ้นไปเลย สรุปว่า เราใช้เวลาไปทั้งหมด 7 กิโลนี้ 2 ชั่วโมง 58 นาที เข้าก่อน cut off ไปเกือบ 50 นาที เพิ่งมารู้เอาตอนหลังว่า จำเวลา cut off ผิด เร่งแทบตาย หัวร้อนสุดๆ 

พอมาถึงจุดนี้ ก็เหลือระยะทางอีกแค่ 10 กิโลสุดท้ายเท่านั้น เช่นเคย รีบเติมน้ำ หาของกิน แล้วออกมาจาก headquarter เพราะเห็นมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งออกไป ถ้าไปทันกัน ไปกันเป็นคณะก็ดี เป็นพี่ผู้หญิงสองคนกับพี่ผู้ชายอีกหนึ่งคน เลยเกาะกันไปเรื่อยๆ จนมาเหลือเรากับพี่ผู้ชายไต่เขาลงมาด้วยกัน ทักทายกันไปมา เลยรู้ว่าพี่เขาชื่อพี่เอ้ อยู่จันทบุรี เคยมาซ้อมทางตรงนี้ด้วย ทาง 10 กิโลสุดท้าย แม้จะเป็นลงเขาอย่างเดียว แต่ไม่ง่ายเลย เพราะฝนตก หมอกลง ไฟคาดหัวส่องไม่ค่อยเห็น ทางช่วงแรกเป็นถนนดินแดงที่เละๆลื่นๆ จิกเท้ากันกระจาย พอเข้าช่วง single track เราก็เชิญพี่เอ้ให้ล่วงหน้าไปก่อน แต่พี่เขาไม่ยอมแซง เลยเกาะกันไปแบบนี้ ทางช่วงนั้น ทั้งตอไม้ หินลอย ดินเละๆลื่นๆ บางช่วงนี่เป็นบ่อโคลนเลย รองเท้าคู่ใจ La sportiva Akasha ที่แทบไม่เคยลื่นมาตลอดทั้งวัน ก็มาลื่นปรื้ดๆเอาตอนนี้แหละ อาศัยจิกเท้า หาที่วางเท้า ใช้ poles ค้ำไปเรื่อยๆ เลยคุยกับพี่เอ้ว่า ถ้าเราเดินเฉยๆไม่วิ่งเลย จะทัน cut off มั้ย พี่เค้าบอกว่าทัน น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เช็คเวลาตลอด


ทางขาลงนี้ป้ายสะท้อนแสงน้อยมาก ทำเอาเรากังวลเลย บางครั้งมันมีแยกซ้ายขวา โชคดีมากๆที่ได้พี่เอ้วิ่งมาด้วยกัน พี่เขาจะเช็คทางให้ตลอด เช่น พอเราลังเล พี่เขาจะบอกตลอดว่า ซ้ายครับ ขวาครับ ไม่หลงทาง ต้องขอบคุณมากจริงๆ มากันเรื่อยๆก็รู้สึกว่า มันไกลมากๆ แค่ 10 กิโล เป็นลงเขาด้วย ทำไมนานจัง จนมาเจอกำแพงวัดที่ลอดมาตอนเช้า นี่แทบจะโห่ร้องเลย ดีใจมากๆ พอเข้าเขตวัดก็เป็นถนนลาดยาง วิ่งลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนมาถึงถนนใหญ่ ตอนนั้นดีใจมากๆ แรงที่คิดว่าหมดไปนานแล้วถูกขุดมาอีกครั้ง ชวนกันวิ่งไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง เจอนักวิ่งเดินสวนมาก็บอกว่า ทันแน่นอนครับ ทันแน่นอน เวลาเหลือเฟือ อยู่ดีๆก็มีพี่ผู้ชายวิ่งตามมา หันไปดู เป็นพี่ผู้ชายคนที่สู้มาด้วยกันที่ A2 ที่พี่เขาบอกว่าจะ DNF ตัวเอง ดีใจมากๆ ที่พี่เขายอมลงมาต่อ แถมได้เข้าเส้นชัยพร้อมกันด้วย โค้งสุดท้ายก่อนเลี้ยวเข้าเส้นชัยมีคนออกมาเชียร์ บรรยากาศคึกคัก พอเห็นเส้นชัยก็คิดว่า รอดแล้วๆ รอดแล้วจริงๆ วิ่งเข้าไปสวยๆ ด้วยสภาพที่สะบักสะบอมที่สุดในชีวิต ระยะทางทั้งหมด 77 กิโล เวลารวม 18.31.09 ชั่วโมง เข้าก่อน cut off 29 นาที เป็นผู้หญิงคนที่ 12 จากที่วิ่งจบทั้งหมด 17 คนจากผู้หญิงทั้งหมด 53 คน เป็นคนที่ 58 จากคนทั้งหมดที่วิ่งจบ 72 คน จากจำนวนนักวิ่งรวมทั้งหมด 196 คน มาดูตัวเลขทีหลังแล้วถึงรู้ว่า คน DNF เยอะมากๆ การันตีความโหดจริงๆ


ภาพตอนเข้าเส้นชัยหนี cut off

มาดูสภาพร่างกายหลังวิ่งจบกัน ที่ล้มไป เป็นแผลที่หน้าแข้งเล็กน้อย เพราะได้รัดน่องช่วยไว้ แต่เข่าสองข้างช้ำม่วงเลย ส่วนเล็บที่ไปเตะก้อนหินอย่างแรงนั้น ห้อเลือดจนดำเลย แต่ไม่เจ็บมากมายอะไร ให้พี่หนุ่ยดูแล้วบอกว่า ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องถอดเล็บ สภาพโดยรวมไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆเลย มีปวดเมื่อยตามปกติ ที่ปวดเมื่อยมากที่สุดคงจะเป็นต้นขาเพราะใช้เยอะที่สุด จะว่าไปงานนี้แม้จะโหดที่สุด แต่ร่างกายเราแข็งแรงใช้ได้ ตลอดทางไม่ได้ฉีดสเปรย์เลยแม้แต่นิดเดียว ตะคริวก็ไม่มี ข้อเท้าที่กังวลว่าเป็นจุดอ่อน งานนี้ไม่เจ็บซักแอะเดียว แสดงว่าที่ซ้อมมาทั้งหมดไม่เสียแรงเปล่าเลยจริงๆ

มานั่งประมวลผลประกอบการทั้งหมดก็มาเจอจุดอ่อนเช่นเคย นอกจากการเดินเร็วที่ยังคงเร็วไม่พอแล้ว ยังเจอจุดด้อยข้อใหญ่มากๆ ที่ทำเอาเสียเวลากับมันไปมากก็คือ ความกล้าที่จะวิ่ง downhill บนทาง technical terrain พูดถึงเรื่องนี้ เป็นนิสัยส่วนตัวเลย คือคนที่รู้จักเราดี จะรู้ว่า เราเป็นคน conservative เป็นคนคิดเยอะ และถ้าไม่มั่นใจมักไม่กล้าเสี่ยง ที่ผ่านมาในชีวิตเลยไม่ค่อยโลดโผนมาก มาวิ่งเทรลได้นี่คือ กิจกรรมที่ extreme ที่สุดในชีวิตละ ทาง technical terrain เนี่ย บอกได้เลยว่า ถ้ามีโอกาสล้ม เราไม่กล้าวิ่งใส่แน่นอน วิธีแก้ไขมีวิธีเดียวเท่านั้นจริงๆ Practice makes Perfect ! ต้องซ้อมกับทางจริงบ่อยๆนั่นเอง นี่ก็เกริ่นๆกับพี่หนุ่ยไว้แล้วว่า สงสัยจะได้ชวนพี่หนุ่ยไปตีกอล์ฟที่เชียงใหม่บ่อยขึ้นซะแล้ว

สุดท้ายแล้วกับเป้าหมายต่อไป มีคนถามว่า จะวิ่ง 100 กิโลเมื่อไหร่ จากการวิเคราะห์สภาพร่างกายของเรา เราคิดว่าน่าจะพอวิ่งบางรายการได้แล้ว แต่... เราไม่รีบค่ะ ไม่รีบเลยจริงๆ บอกตามตรงว่า อยากเป็นนักกีฬาที่มีคุณภาพ นี่วิ่งมาได้แค่ 2 ปีเท่านั้นเอง ยังคิดว่าประสบการณ์ยังน้อยเกินไปสำหรับ 100 กิโล คิดว่าคงจะวนเวียนอยู่แถวๆระยะ 50-70 นี้ไปอีกประมาณ 2 ปี เหมือนที่บอกไปแล้วแหละค่ะว่า เราเป็นคน conservative :)




stats จาก Suunto จริงๆคือวิ่งไป 77-78 กิโลได้เลย แต่แบตหมดเสียก่อน


วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560

*Gear Review* Altra Escalante The next evolution of the Altra road line!



เคยได้ยินมาว่า รองเท้าวิ่งบางคู่ คือ เนื้อคู่ของเรา เราจะหลงรักมันทันทีตั้งแต่วิ่ง 100 เมตรแรก เจ้า Escalante ก็คือ คู่นั้น 

เราเป็นแฟน Altra มาตลอด ทั้งเทรล ทั้งถนน มีความ brand loyalty เพราะชอบความหน้ากว้าง ใส่สบาย พื้น zero drop วางเท้าวิ่งสนุกดี จนได้ข่าวว่า Altra ออกแบบรองเท้ารุ่นใหม่ โดยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาเป็นเจ้า Escalante คู่นี้ เมียงมองอยู่นาน หารีวิวอ่าน แฟนๆชมกันมากว่า ดีงาม บางคนว่า เป็น Altra คู่ที่ดีที่สุด ขนาดนั้น! พอได้จังหวะมีโปรโมชั่น เลยได้ฤกษ์ไถ่ตัวมา

ก่อนอื่น ขอพูดที่มาของชื่อ Escalante นี่สงสัยจนต้องไปหาข้อมูล Escalante คือ ธรรมชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของรัฐ Utah ต้นกำเนิดของแบรนด์ Altra ที่ Utah มีแม่น้ำที่ชื่อ Escalante ไหลผ่านช่องเขาคดเคี้ยว กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงคือ Grand Staircase-Escalante National Monument คล้ายๆกับอุทยานแห่งชาติ เป็นธรรมชาติที่สวยงามเหมาะสำหรับวิ่งเทรลหรือปีนเขาเดินป่า แหม ดูจากที่มาของชื่อ น่าจะเหมาะเป็นรองเท้าเทรลมากกว่านะเนี่ย 

นอกจากเอกลักษณ์พื้นฐานของแบรนด์ คือ zero drop และ หน้าเท้ากว้างขวาง ใส่สบายแล้ว Escalante คู่นี้ ยังมีเทคโนโลยีและภาพลักษณ์ใหม่ๆเพิ่มเข้ามา ดังนี้

1. ตัว upper เป็นผ้า knitted เรียกได้ว่า highly engineered mesh uppers ไร้รอยต่อ ทอเต็มผืน  เราไม่ได้เป็นแฟนผ้า knitted ที่หลายแบรนด์ตามท้องตลาดใส่เข้ามา นี่ก็เพิ่งลอง Altra เป็นคู่แรกเลย ตรงนี้มี story นิดหน่อยว่า ลายผ้า Knitted ถ้าสังเกตดีๆจะเป็นลายคลื่น มีแรงบันดาลใจมาจากแม่น้ำ Escalante นั่นเอง 

2. Midsole Altra ใส่เทคโนโลยีใหม่เข้ามา เป็นโฟมชื่อว่า EGO เคลมว่า ส่งแรงได้ดี เด้งดึ๋ง และทนทาน

3. ภาพลักษณ์ของรองเท้าที่ดูเป็นกึ่งรองเท้าวิ่งกึ่ง casual คือ ใส่วิ่งก็ได้ ใส่เที่ยวก็ดี ออกแบบ สวย เรียบ ใส่วิ่งแล้วสามารถใส่เดินเล่นต่อได้เลย ไม่ขัดตา

ความรู้สึกจากการใส่วิ่งครั้งแรก โอ๊ยยยหลงรักอย่างแรง มันนุ่มและเด้งมากกกกกก ตัวผ้า knitted ยืดหยุ่นได้ดี น้ำหนักรองเท้าก็เบา เข้าใจที่มีคนรีวิวเลยว่า ความรู้สึกคือ เหมือนรองเท้าเป็นอวัยวะส่วนหนึ่ง คล้ายๆกับวิ่งเท้าเปล่า จะลงเท้ายังไงก็มั่นใจ บวกกับรองเท้าที่หน้ากว้างอยู่แล้ว คนเท้าบานแบบเรานี่ใส่สบายเลย

ตัวโฟม EGO มันเด้งสมคำร่ำลือมาก ส่งแรงดีสุดๆ เราชอบรองเท้าเด้ง และจะดีมากถ้านุ่มด้วย ใส่วิ่งแล้วยิ้มเลย ลองเปรียบเทียบกับ Torin ที่นุ่มและเด้งเหมือนกัน Escalante จะตอบสนองได้ดีกว่า สมแล้วที่ Altra โฆษณานักหนาว่า เป็นโฟมที่เจ๋ง สมคำร่ำลือจริงๆ นี่ถึงกับไปศึกษาเรื่องโฟมมา นิยามสั้นๆของ EGO foam ตัวนี้จากปากของเจ้าของแบรนด์คือ " Fast and Springy, Yet Comfortable and Soft " เจ้าตัวยังเคลมอีกว่า จากการทดสอบแล้วทนทานกว่าโฟมตัวอื่นๆในท้องตลาด เช่น EVA foam เจ้า EGO กินขาดในเรื่องการส่งแรงและความทนทาน รับรองว่าจะเด้งดึ๋งไปตลอดอายุการใช้งานของรองเท้าเลยจ้า

เราลองวิ่งมาหมดแล้ว ทั้งทางเรียบและทางเนิน ความรู้สึกคือ วิ่งสนุกมาก มันมั่นใจ และคึกสุดๆ ความรู้สึกคือ ใช่เลย ทำความเร็วได้ดีขึ้นด้วย บางคนอาจไม่ชอบรองเท้านิ่ม เพราะให้ความรู้สึกย้วยๆยวบๆ แต่ Escalante นอกจากจะนิ่มแล้ว ยังตอบสนองได้ดี ไม่ย้วย ไม่ยวบ เด้งส่งแรง วางเท้าแล้วยกขึ้นได้เลย เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ ><

มาถึงส่วนที่ต้องดูกันยาวๆคือ ความทนทานของรองเท้า ทั้งตัวผ้า knitted และโฟม ego อายุการใช้งานจะนานขนาดไหน ? ส่วนตัวคิดว่า หลายคนคงไม่ได้มีรองเท้าคู่เดียวแน่ๆ สลับกันวิ่งไปเรื่อยๆ น่าจะไม่มีปัญหา และจากประสบการณ์การมีรองเท้า Altra มาหลายคู่ เป็นแบรนด์ที่ทำรองเท้าได้ทนทาน คู่แรกที่ใช้คือ Impulse 2 ปีมาแล้ว พื้นยังดีอยู่เลย ทนดีจริงๆ อันนี้คงต้องพิสูจน์จากการใช้งานระยะยาวค่ะ

สรุปว่า กลายมาเป็นลูกรักตัวใหม่เรียบร้อย  ใครชอบรองเท้านุ่ม และเด้ง แถมยังใส่สบาย ต้องไม่พลาดตัวนี้จริงๆค่ะ โดยเฉพาะแฟน Altra เพราะนี่ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของการตลาดของ Altra เลย เป็นการขยับเข้าสู่ The battle of the Knitted shoe 

ป.ล. รีวิวในฐานะผู้ใช้จริง รองเท้าทุกคู่จัดหามาโดยสปอนเซอร์ส่วนตัว คือ สามีค่ะ
 




วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560

OoReview งานวิ่ง The Navigator Thailand 2017 เรื่องเล่าเมาท์มอยบนดอยปุย oO




หลังจากที่วิ่ง The Northface จบ รายการสุดท้ายที่ตั้งใจจะไปวิ่งก่อนปิดฤดูกาลคือ The navigator Thailand นี่แหละ! จัดที่เชียงใหม่เจ้า รายการนี้เป็นรายการวิ่งที่ไม่เหมือนรายการไหนๆ สิ่งที่ต้องมีคือ เพื่อนร่วมทีม การวางแผน สกิลในการดูแผนที่ และสายตาอันว่องไวในการมองหาป้าย Rc  กติกามีง่ายๆ วิ่งกับเพื่อน วางแผนกันเอง ทำยังไงก็ได้ เก็บคะแนนจากป้าย RC ให้ได้มากที่สุด ภายในเวลา 10 ชั่วโมง! 


เมื่ออยากวิ่ง ก็ต้องหาเพื่อนร่วมทีมให้ได้ก่อน อันนี้เรื่องใหญ่ เพราะเราเป็นพวกวิ่งคนเดียวมาตลอด โชคดีที่ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด มีอยู่คนหนึ่งที่ตอบโจทย์ที่สุด... คนคนนั้นคือ โชฎก เพื่อนรัก!  โชฎกเป็นเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่ม.1 ผ่านชีวิตช่วงวัยรุ่นมาด้วยกัน อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เรียกได้เต็มปากว่า เพื่อนสนิท เธอเป็นคนเรียนเก่ง เป็นหมอ นิสัยดี เป็นได้ทั้งเพื่อนชายและเพื่อนสาว มีโหมดมุ้งมิ้ง และแมนๆ และที่สำคัญ วิ่งจบมาราธอนแล้วด้วย! จะพากันรอดออกมาจากป่าได้แน่นอน  ตอนขอพี่หนุ่ยไปวิ่ง ว่า จะไปวิ่งกับโชฎก 10 ชั่วโมง พี่หนุ่ยก็อนุมัติทันที โชฎกตกลงรับปากจะไปวิ่งด้วยกันเสร็จสรรพ ก็จองตั๋ว จองที่พักเรียบร้อย ช่วงเวลาที่เราวิ่งกัน พี่หนุ่ยจะไปตีกอล์ฟรอ โชคดีที่เชียงใหม่มีสนามกอล์ฟให้เลือกมากมาย ไม่ต้องเกรงใจให้มานั่งรอกั






งานนี้จัดขึ้นที่บนดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ วันก่อนวิ่งเลยได้ไปกางเต็นท์นอนบนดอยปุย อันนี้ด้วยใจรักจริงๆ เพราะปกติไม่ใช่คนใช้ชีวิต Adventure ขนาดนี้ เช้าวันวิ่งเขาแจกแผนที่ฟังกติกากันตอนตีห้า มาวางแผนการวิ่งกับโชฎก โชคดีที่มีเพื่อนฉลาด เพราะเธอวางแผน รวมคะแนนเองหมด เราแค่ออกความเห็นนิดๆหน่อยๆ 😁 เส้นทางการวิ่งที่วางไว้คือ เก็บคะแนนจากด้านบนก่อน ค่อยลงเขา จากนั้นก็ขึ้นเขากลับมา วนอยู่หมู่บ้านขุนช่างเคี่ยน ยอดดอยปุย ลงไปดอยสุเทพ ไต่เขากลับมาบ้านม้ง ก่อนจะจบที่แคมป์จุดปล่อยตัว งานนี้วิ่งกันชิลล์ๆ ตั้งใจว่า ได้ 100 คะแนนตามขั้นต่ำของเกณฑ์การได้เหรียญ ก็สบายละ เพราะงานนี้เป็นเทรลแรกของโชฎก 














ช่วงปล่อยตัวก็วิ่งมุ้งมิ้งตามหาป้ายไปเรื่อยๆ รู้สึกสนุกมากกกกก เพราะมีเพื่อนวิ่ง โชฎกปล่อยมุกตลอด หัวเราะกันไปตลอดทาง แต่... ก็มาเจอช่วงที่หัวเราะไม่ค่อยออก เพราะป้ายหายากมากกก ทีมงานติดไว้หลังต้นไม้บ้าง ในพงหญ้าบ้าง คือ หายากสุดๆ วิ่งไประแวงไป กลัวหาป้ายไม่เจอ โชคดีที่โชฎกสายตาดี เจอป้ายที่แอบอยู่หลายครั้ง ก็เฮฮากันไป ที่เราชอบที่สุดคงเป็นเวลาที่เจอป้ายแล้วเขาให้เซลฟี่เป็นหลักฐาน โชฎกจะยกมือถือขึ้น พร้อมพูดคำว่า " capture! " แบบชิคๆ เสียงดังลั่นป่า คือ วิ่งกับเธอแล้วมีชีวิตชีวาสุดๆ 











ระหว่างทางเจอเพื่อนร่วมวิ่งมากมาย ทักทายกันไปตลอดทาง จนมาเจอฝรั่งคู่หนึ่ง นางวิ่งเก่งมาก มีทางลัดมีสกิลการหาป้ายที่เป็นเลิศ หนึ่งในนั้นน่ารักด้วย😝 ทีมเราเลยพยายามวิ่งเกาะติดเขาไป ได้เขาช่วยหลายคะแนน มาคุยกันทีหลังว่า พี่แกเป็นเจ้าถิ่น สุดท้ายได้คะแนนเยอะที่สุดด้วย ปีหน้ายังคุยกับโชฎกว่า จะตามติดทีมฝรั่งไม่ให้คลาดกันเลย 


ช่วงเวลาที่ยากลำบาก คือ ตอนใช้ทางลัดจากขุนช่างเคี่ยนไปดอยสุเทพ เป็นทางเทรลแบบรู้สึกว่า มันไกลมาก ไหนจะกลัวหลงทางอีก ถามทางชาวบ้านม้งมาตลอดทาง ช่วงนี้โชฎกอึดมาก นำหน้าเราตลอด ได้แต่บ่นเมาท์มอยกันไปตลอดทาง จนมาถึงดอยสุเทพ แวะเข้าห้องน้ำ ทางจากนี้จะเป็นการไต่ขึ้นเขายาวๆแล้ว เลยตัดสินใจแวะเติมพลัง รีเฟรชกันใหม่ ด้วยการทานข้าวเที่ยงเป็นก๋วยเตี๋ยวตรงพระธาตุดอยสุเทพ 







ตอนนั้นเหลือเวลาอีก 3 ชั่วโมง กับการเดินขึ้นเขากลับดอยปุย วางแผนแวะเก็บคะแนนตามรายทางไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่า ไม่รู้เอาแรงมาจากไหน เดินขึ้นดอยปุยเป็นเนินเขายาวๆหลายกิโลกันด้วยเพซ 10 รู้สึกว่า ตัวเองเป็นหญิงถึกมากเลย จ้ำขึ้นเขากันไปอย่างบ้าคลั่ง 

ช่วงสุดท้าย พอมีเวลา เลยแวะไปเก็บคะแนนจากหมู่บ้านม้ง ช่วงลงเนินก็ชวนกันวิ่ง ขึ้นเนินก็เดินคุยกันไป สุดท้ายจึงเข้าเส้นชัยด้วยระยะเวลา 9 ชั่วโมง 35 นาที ระยะทางรวม 38 กิโล (ตอนวิ่งรู้สึกว่า มันไกลกว่านี้นะ! ) ด้วยคะแนนรวมสบายๆที่ 169 คะแนน 

มารู้ทีหลังว่า app แผนที่ที่เขาให้โหลดมา สามารถเสิร์จหาพิกัดป้ายจากละติจูด ลองติจูดได้!! ถึงว่า บางทีมทำไมหาคะแนนกันเก่งจัง ปีหน้าต้องวางแผนใหม่กันแล้ว แต่โดยรวมใช้แค่สกิลการดูแผนที่ของผู้หญิงสองคน (ขอนับสกิลของโชฎกว่าเป็นผู้หญิงด้วยละกัน 555) ได้คะแนนแค่นี้ก็ถือว่า น่าพอใจมากแล้ว 





ขอขอบคุณพี่หนุ่ยผู้เป็นทุกๆอย่างในชีวิตการวิ่งของเรา ครั้งนี้ก็เช่นกัน ยอมให้มาวิ่งไกลบ้านครั้งแรก 😘 ที่สำคัญ งานนี้ต้องขอบคุณโชฎกที่ตอบรับมาวิ่งด้วยกัน เป็นประสบการณ์การวิ่งกับเพื่อนสนิทที่คงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว รักเธอน้าาาา 

สรุป ชอบรายการนี้มากกก สนุกสนานสุดๆ ได้วิ่งกับเพื่อน ได้วางแผน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ทีมงานน่ารัก บริหารจัดการดี และ... คนปิ้งบาบีคิว after party หลังวิ่งเสร็จ หล่อมากกกกกก!! 😙 นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่โชฎกจะมาวิ่งอีกปีหน้า! 55555 



ขอบคุณภาพสวยๆจากทีมงานThe Navigator Thailand ค่ะ 








 



Gear Review: Altra Solstice >> Excellent choice for a racing flat lover!

นักวิ่งคนไหนเป็น Racing flat lover ชอบรองเท้าวิ่งพื้นบางๆ น้ำหนักเบาๆ วิ่งแล้วตัวเบาหวิวเชิญมาทางนี้ค่า วันนี้เราจะมาพูดถึง Altra Solst...