ตั้งแต่วิ่งรายการ The Northface 100 2017 ระยะ 50 กิโลจบไปตอนต้นปี ก็ตั้งใจไว้ว่าปีนี้จะลงแต่รายการเทรล ส่วนใหญ่รายการวิ่งเทรลมักอยู่ช่วงปลายปีหมดฝนอากาศเริ่มเย็น มองหารายการที่อยู่ช่วงกลางปีมีไม่มาก หนึ่งในตัวเลือกนั้นคือ CM6 รายการนี้จัดที่เชียงใหม่ช่วงเดือนสิงหาคม ให้วิ่งเล่นกันอยู่บนดอยปุยดอยสุเทพ จากที่เคยไปวิ่งรายการ The Navigator Thailand มาก่อน มีความประทับใจในป่าเชียงใหม่มากๆ ช่วงเวลาจัดงานก็ลงตัวที่สุด แถมยังมีสนามกอล์ฟมากมายให้พี่หนุ่ยเล่น เมื่อพี่หนุ่ยอนุญาต สุดท้ายเหลือแค่การตัดสินใจว่าจะลงระยะไหน... ถ้าเป็น ultra จะมีทั้งหมด 3 ระยะ คือ 42 กิโล 70 กิโล และ 130 กิโล ด้วยความที่เคยจบ 50 กิโลมาแล้ว เลยอยากจะท้าทายตัวเองมากขึ้น คิดสะระตะ สุดท้ายก็เลือกที่ลงวิ่งในระยะ 70 กิโล รายละเอียดของระยะ 70 กิโลนี้ จริงๆแล้ววิ่งทั้งหมด 74 กิโล! ความชันสะสมทั้งหมด 4120 เมตร คิดง่ายๆว่า วิ่งขึ้นเขาอย่างเดียวเป็นระยะทางรวมกัน 4 กิโลเมตร ประมาณนั้นเลย cut off คือ 19 ชั่วโมงถ้วน... 19 ชั่วโมงฟังดูนาน แต่จริงๆแล้ว เมื่อดูความชันและสภาพอากาศช่วงนั้นที่อาจเจอฝนตก มันไม่ได้นานอย่างที่คิดเลย

แผนที่ที่ต้องวิ่ง
กราฟความชันและ cut off
เวลาซ้อมทั้งหมดมีประมาณ 5 เดือน ไม่มากไม่น้อย ตั้งแต่จบ The Northface ก็พบจุดอ่อนหลายอย่างที่จะเอามาปรับปรุงแผนการซ้อม ที่เพิ่มเข้ามาก็คือ Hill Repeats, Drills เพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการฝึกเป็น Powerful Walker ทุกอาทิตย์ของการซ้อมเราจึงต้องวิ่ง Hill Repeats แบบเต็มๆ สัปดาห์ละครั้ง เอาเข้าจริงแล้ว ด้วยความที่บ้านอยู่บนเขา วิ่งยังไงก็ต้องเจอเนิน ความรู้สึกที่ว่าเจอเนินแล้ววิ่งเข้าใส่เลย นี่เจอทุกวันจนชิน ช่วงที่ฟิตมากๆ ก็ฝึก Intervals กับเนินบ้าง หรือคุมเพซวิ่งขึ้นเนินยาวๆให้ไม่เกินเพซ 6 มาถึงช่วงสองเดือนสุดท้ายก็มาซ้อมวิ่งระยะทางจริง คือ 70 กิโล วิ่งวนไปวนมาอยู่คนเดียวแถวปากช่อง การซ้อมยาวครั้งนั้นผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอาการบาดเจ็บ เดือนสุดท้ายจึงเป็นการเก็บตัวรักษาความฟิต เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็มาถึงเดือนสิงหาคม...
ปกติเราเป็นคนไม่ชอบวางแผนการวิ่งอะไรเป๊ะๆ เช่นว่า จะต้องถึงจุดนั้นจุดนี้ภายในเวลาเท่าไหร่ เป็นคนเจอสถานการณ์จริงแล้วปรับตัวไปตามนั้น โดยมีเงื่อนไขว่า ทำให้เต็มที่เท่านั้น งานนี้ก็เช่นกัน การวางแผนของเราก็ไม่ซับซ้อน คำนวณเวลา cut off วางแผนการกินระหว่างทาง จุด check point, drop bag ไปจนถึงการวางแผนการวิ่งเมื่อฝนตก งานนี้เริ่มต้นวิ่งและจบที่ศูนย์แสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ วิ่งไปตามจุด checkpoint ต่างๆ โดยมี headquarter อยู่ที่โรงเรียนศรีเนรูห์ เป็นที่เดียวที่ให้ทิ้ง dropbag ไว้ได้ เราจะวิ่งไปมาๆโดยผ่านจุดนี้อยู่ 3 ครั้ง ก่อนวิ่ง ด้วยความที่เคยได้ยินได้ฟังถึงความขลังของป่าดอยสุเทพดอยปุยมามาก งานนี้ต้องวิ่งกลางคืนหลายชั่วโมง คืนก่อนวิ่งเลยนั่งสมาธิตามปกติ แล้วแผ่อุทิศบุญพร้อมกับบอกเจ้าป่าเจ้ารูปนามต่างๆเขาบนดอยสุเทพดอยปุยว่า วันพรุ่งนี้จะขอมาวิ่ง ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี

วันวิ่งเราตื่นก่อนตี4 เล็กน้อย เตรียมตัวอะไรเสร็จก็ถึงงานประมาณตี 5 ช่วงนั้นกำลังปล่อยตัวระยะ 130 กิโลพอดี บรรยากาศคึกคักมากๆ ช่วงรอก็วอร์มอัพไปคุยกับพี่หนุ่ยไป จนถึงเวลาปล่อยตัว พี่หนุ่ยอวยพรว่า ทำได้อยู่แล้ว ขอให้โชคดีวิ่งจบสวยๆ โดยที่วางแผนกันว่า พอถึง 50 กิโลแล้วจะโทรหา จะได้กะเวลามารับถูก ระยะ 70 กิโลนี้ มีนักวิ่งทั้งหมด 196 คนถ้วน ผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเช่นเคย พอถึงเวลาก็พากันวิ่งออกจากเส้นชัย ตามแผนที่แล้ว 10 กิโลแรกคือ ไต่เนินยาวๆไปจนถึง Headquarter ตรงนี้มี cut off ด้วยนะ คือ 2.45 ชั่วโมง เราออกตัวสบายๆ คุมไว้ไม่เร็วเกินเพซ 6 ครึ่ง ไต่เนินที่เป็นถนนลาดยางไปเรื่อยๆก็มาถึงวัดป่าที่อยู่ริมเขา ที่จะต้องวิ่งผ่านไป ช่วงนั้นก็จะเข้าทางเทรล เป็น single track ที่พอมีจุดแซงกันได้เล็กน้อย ทางมีทั้งหินลอย รากไม้ ดินชื้นๆที่อุ้มน้ำไว้ บางช่วงก็ชัน เลยหยิบ trekking poles มาใช้เลย วันนั้นอากาศชื้นอบอ้าว พอต้องวิ่งใต้ต้นไม้ใหญ่แล้วแทบไม่มีลมพัด นักวิ่งแต่ละคนก้มหน้าก้มตาไต่เขากันอย่างเอาเป็นเอาตาย เราไม่กล้าพักนาน พอครบ 1 ชั่วโมงก็หยิบเจลมาทานตามกำหนดเวลา จนมาพ้นเขต single track ก็เป็นถนนดินแดง ช่วงนี้พอหายใจหายคอได้สะดวกและทำความเร็วได้บ้าง เราเริ่มชินทางเพราะเคยว่าวิ่งตอนงาน The Navigator ด้วยความที่ต้องไต่เขาตลอด แค่ 10 กิโลแรกก็กินแรงไปมากมาย จนมาถึง Headquarter ใช้เวลา 2.11 ชั่วโมง เข้าก่อน cut off ไปประมาณ 30 กว่านาที ตอนนั้นแหละที่เพิ่งรู้ตัวว่า ตัวเลข cut off กับระยะทางนี่บีบคั้นหัวใจนักวิ่งน่าดู
ที่ Headquarter เราเติมน้ำ หาอะไรทาน ใช้เวลาไม่นานก็รีบวิ่งออกไป เจออาสาสมัครบอกว่า เดี๋ยววิ่งขึ้นดอยปุยนะครับ อากาศดีครับ ตอนนั้นหัวเราะในใจ อากาศน่ะดีจริง แต่ทางชันมาก จำได้เลย แล้วก็ตามสภาพ การไต่สันเขาดอยปุยที่ชันจนต้องแหงนหน้ามองคอตั้ง ฝั่งขวามือคือหุบเขาที่วิวสวยมาก หมอกลอยไปลอยมา ทำได้แค่ชะโงกหน้ามองเท่านั้น ตอนนั้นเจอนักวิ่ง 130 กิโลบางคน เพื่อนนักวิ่งแต่ละคนพากันโอดครวญถึงความชันที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เราได้แต่กัดฟันปัก poles ส่งแรงไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ผ่านพ้นมาได้ พอพ้นยอดดอยปุยแล้ว ก็เป็นทางลงเนินยาวๆที่เจอถนนลาดยาง เราชอบมากกกกก เพราะทำความเร็วได้ ช่วงนี้วิ่งลงเนินยาวๆ เพซ 5 เลย รู้สึกลันล้าสุดๆ ช่วงนี้แซงนักวิ่งไปได้หลายคน จนมาถึงจุดให้น้ำที่ 1 เป็นคุณลุงชาวเขามาช่วยเป็นอาสา คุณลุงน่ารักมากๆ ช่วยเติมน้ำ ช่วยให้กำลังใจ จนต้องยกมือไหว้ขอบคุณ จากนั้นก็วิ่งรัวๆเข้าไปในหมู่บ้านม้ง ทะลุผ่านเข้าไปในสวน ทางช่วงนี้จะเป็นถนนคอนกรีตแข็งๆที่ทำเป็นเส้นสองเส้นให้ล้อรถผ่านได้ เว้นตรงกลางไว้ เราทำเวลาช่วงนี้ได้ดี วิ่งมากกว่าเดิน ทางจะผ่านบ้านชาวบ้านที่อยู่ในสวน อากาศโล่งๆสบายๆไม่มีแดด ปลายทางต่อไปคือจุด A1 ที่หมู่บ้านผานกกก ก่อนถึงจุด A1 ต้องไต่เนินยาวมากๆ เริ่มสวนทางกับนักวิ่งคนอื่นๆที่วิ่งย้อนกลับมา มียิ้มให้กันโบกมือทักทายกันไป พอมาถึง A1 ก็อยู่ในสภาพระโหยโรยแรง ระยะทางได้ 30 กว่ากิโลแล้ว จุดนี้จะเป็นจุดพักใหญ่อีกที่หนึ่ง เรารีบเติมน้ำ หยิบข้าวเหนียวหมูปิ้งมาทาน เพราะเป็นช่วงเที่ยงพอดี คิดว่าคงเป็นอาหารมื้อเดียวที่ได้ทานตลอดรายการนี้ จากนั้นก็ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ออกจากจุด checkpoint วิ่งลงเนินยาวๆไปเรื่อยๆเพื่อไปสู้เป้าหมายต่อไปคือ จุดให้น้ำที่ 2 ที่อยู่ห่างไปอีกเกือบ 10 กิโล โดยมีระยะเวลา cut off 10 ชั่วโมง คือ เราต้องไปถึงที่นั่นก่อน 4 โมงเย็น

วิ่งบนดอยปุย
ทางช่วงนี้ไม่ยากไม่ง่าย แต่เราชอบที่สุดเพราะวิ่งแล้วสบายใจ อากาศโล่งๆ ทางจะเป็นทางเข้าไร่ชาวบ้านม้ง เป็นดินแดง สลับกับคอนกรีตเป็นเส้นๆ มีผ่านเข้าป่ารกๆสลับกันไป ตรงป่าอากาศชื้นอบอ้าวมากๆ เราเจอตัวทากกระโดดใส่ด้วย แต่ดันกระโดดเกาะที่ poles เลยเขี่ยๆไป ช่วงที่วิ่งผ่านสวนชาวบ้าน มีผ่านเข้าไปในสวนต้นพลับกับไร่กุหลาบด้วย บรรยากาศดี วิ่งเพลินๆ แต่จู่ๆ นาฬิกาก็ดังติ๊ดๆ storm alarm ดัง! เงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนั้นฟ้าก็ยังใสๆดีอยู่ แต่นาฬิกาตัวนี้ มี barometer วัดความกดอากาศในตัว คือถ้าความกดอากาศเปลี่ยนแปลงไปมากๆ ท่าทางจะมีฝนก็จะส่งสัญญาณเตือน และแล้ววิ่งไปสักพัก ฝนก็ตกลงมาจริงๆ เมฆฝนไม่รู้ลอยมาจากไหน ลงหนาเม็ดจนเราต้องหยุดหยิบเสื้อกันฝนมาใส่ แต่เหมือนโดนแกล้ง พอหยิบเสื้อมาใส่ ฝนก็ค่อยๆซาลง จากนั้นเลยคิดว่า จะไม่ใส่เสื้อกันฝนอีกแล้ว ถ้าไม่ได้เจออากาศหนาวจริงๆ จุดให้น้ำที่ 2 นี้ ตามแผนที่คืออยู่ที่กิโลที่ 40 จนวิ่งเลยกิโลที่ 40 ไปแล้วก็ยังไม่มีวี่แววจะเจอจุดให้น้ำเลย ในใจตอนนั้นคิดว่า สงสัยโดนแถมระยะแน่ๆ นักวิ่งที่วิ่งมาด้วยกันยังคุยกันว่า สงสัยจะไม่มีแล้ว ปรากฏว่า จุดให้น้ำที่ 2 มาอยู่ที่กิโลที่ 43 คือ โดนแถมไป 3 กิโลถ้วน แสดงว่าต่อจากนี้ จุดต่างๆในแผนที่จะถูกบวกเพิ่มไปอีก 3 กิโล ! ที่จุดให้น้ำนี้มีคุณลุงม้งกับเด็กๆมาช่วยเติมน้ำ น่ารักมากๆ เติมน้ำเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ตอนนั้นผ่านไป 8 ชั่วโมงกว่าๆ เป็นเวลา 2 โมงครึ่ง เราเข้าก่อน cut off ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เป้าหมายต่อไปคือ วิ่งกลับ Headquarter โดยจะต้องไปถึงที่นั่นภายในเวลา 18.15 น.
ทางช่วงนี้เป็นถนนดินแดงชื้นๆ มีบางช่วงเละๆเพราะฝนตก ไต่เขาลงเขาไปเรื่อยๆ เราก็ค้นพบเคล็ดลับบางอย่าง ก่อนจะวิ่งรายการนี้ เราไปดูวิดีโอเคล็ดลับการเดินขึ้นเขาของ Elite ชาวอเมริกาคนหนึ่งมา เขาแนะนำว่า เวลาเดินขึ้นเขา ให้พยายามจัดฟอร์มใหม่ ให้โน้มตัวไปข้างหน้ามากๆ แล้วเอามือวางที่ต้นขาดันตัวขึ้นไป โน้มมากขนาดที่ว่าเหมือนกำลังหากุญแจที่ตกหายตอนวิ่ง อาจดูประหลาดไปนิด แต่มีประสิทธิภาพมาก ช่วงที่ผ่านมา เราก็พยายามทำ แต่เพราะต้องถือ poles ด้วย เลยไม่สะดวกก้ม เราเลยลองเก็บ poles ปรากฏว่า ทำเวลาเดินขึ้นเขาได้ดีกว่าเดิมมาก เวลาเจอเนินที่ไม่ชันมาก หรือไม่ยาวมาก เราจะไม่ใช้ poles เลย ก้มตัวเดินงุดๆ จนพี่ที่วิ่งตามหลังมายังพูดกับเราหลังจากถึง headquarter ว่า น้องเดินขึ้นเนินได้เร็วมากๆ โถ แต่ทำไมเพิ่งมาต้นพบเอาตอนผ่านไปเกินครึ่งทางแล้วก็ไม่รู้ ในที่สุดเราก็พาตัวเองมาถึง headquarter ตอน 5 โมงเย็น ก่อนเวลา cut off ชั่วโมงนิดๆ ตอนนั้นได้ 53 กิโลแล้ว ใช้เวลาไป 11 ชั่วโมง ในใจก็คิดว่า เหลืออีก 20 กิโลนิดๆ น่าจะจบภายใน 16-17 ชั่วโมง ที่ไหนได้... หารู้ไม่ ว่าหนังชีวิตที่แท้จริงคือ ช่วง 20 กิโลสุดท้ายนี่แหละ

ยังยิ้มอยู่ ไม่รู้ตัวว่ากำลังเจอหนังชีวิต!
ตอนที่มาถึง headquarter เรารีบคว้าสับปะรดเข้าปาก เติมน้ำ แล้วรีบไปต่อเลย เพราะสังหรณ์ใจแปลกๆ รู้สึกว่าต้องรีบ เป้าหมายต่อไปคือจุด A2 อยู่ที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ทางตามแผนที่คือ ทางลงเขาอย่างเดียว ความชันประมาณ 1000 เมตร จากที่รีบๆเจอทางไปแล้วถึงกับต้องชะลอความเร็ว ลองนึกภาพทางวิ่งที่เป็น single track ทางให้วิ่งมีประมาณไม่เกิน 1-2 ศอก สภาพเป็นร่องเขา มีทั้ง หิน รากไม้ ตอไม้ บางช่วงเป็นร่องตัววี ที่หาที่วางเท้าลำบาก สภาพคือ technical terrain ที่ชัน เป็นอะไรที่เราไม่ชอบและไม่ถนัดที่สุด ! เลยได้แต่กระดึ้บๆลง ทำความเร็วไม่ได้เลย ระหว่างทางสวนนักวิ่งหลายคนทั้งระยะ 70 และ 130 หน้าตาแต่ละคนบอกบุญไม่รับอย่างแรง นี่มองเห็นอนาคตตัวเองเลย ลงว่ายาก ขาขึ้นนี่ไม่ต้องพูดถึง แถมใกล้มืดแล้วด้วย ช่วงนั้นโดนหลายคนแซงไป เราก็ให้เขาแซงหมด นี่ขนาดระวังๆแล้ว ยังเจออุบัติเหตุจนได้ มีช่วงหนึ่งที่มีตอไม้ขวางอยู่ พอปีนขึ้นไปเลยกระโดดเอาเท้าขวาลงมา มองไม่เห็นว่าข้างล่างมีก้อนหินอยู่ เท้าเราเตะลงไปที่ก้อนหินเสียงดังปั๊กเลย เจ็บจี๊ดๆ แต่ก็ยังไม่กล้าพักดูสภาพเท้า ตอนนั้นวัดใจเลย ถ้าไม่เจ็บมาก มันจะหายไปเอง โชคดีที่มันหายเจ็บไปเองจริงๆ ระหว่างทางเราปลอบใจตัวเองเป็นพักๆ จนในที่สุดก็มาถึงถนนลาดยางเส้นใหญ่ที่ต้องข้ามไป ก็จะเข้าไปเขตที่เป็นแม่น้ำมีแก่งหิน ต้องวิ่งบนก้อนหินใหญ่ๆนั่นแหละ ต้องกระโดดข้ามน้ำด้วย ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึง A1 จนได้ กับระยะทาง 7 กิโล ใช้เวลาไป 2 ชั่วโมง ถึงตอนเวลา 1 ทุ่มพอดี เข้าก่อน cut off 1 ชั่วโมง 15 นาที
จุดนี้เราใช้เวลานิดนึงในการทานขนมปัง ทานน้ำผึ้งหลอดที่พกแทนเจล และแล้วก็คว้า poles วิ่งออกไป เป้าหมายต่อไปคือ headquarter ที่เดิม คือ ต้องวิ่งทางเดิมที่วิ่งลงมานั่นแหละ แต่เป็นการขึ้นล้วนๆ และตอนนั้นก็มืดแล้วด้วย ตอนนั้นรู้เลย หนังชีวิตของจริงกำลังจะมาละ ก่อนขึ้นเนินเพิ่งขึ้นได้ว่าต้องโทรหาพี่หนุ่ย เพราะตอนแรกบอกว่าจะโทรตอน 50 กิโล นี่รีบมากจนไม่มีเวลาโทร เลยได้มาโทรตอน 60 กิโลแทน บอกพี่หนุ่ยว่า เหลือ 17 กิโล เวลาน่าจะ 4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ยังไงไม่ต้องรีบมา ถ้าเข้าเส้นชัยแล้วจะโทรบอก ยังจำเสียงถอนหายใจด้วยความสงสารจากพี่หนุ่ยได้อยู่เลย 55555 ระยะทางที่ต้องไต่กลับขึ้นเขาคือ 7 กิโล แค่ 7 กิโลเท่านั้น แต่เป็น 7 กิโลที่สาหัสสากรรจ์มากๆ ตั้งแต่วิ่งมา ขอยกให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดเลย ทั้งมืด ชัน ลื่น อุปสรรคทุกอย่างมาเต็ม ก้อนหิน ตอไม้ ขอนไม้ และ ฝน... อยู่ดีๆฝนก็ตก ตกหนาเม็ดด้วย ทางเดิมที่ลื่นอยู่แล้ว ยิ่งลื่นมากๆๆๆ ไปอีก บางช่วงนี่เละเป็นโคลนเลย ตอนนั้นเหนื่อยมากกกก มีความท้อแท้สิ้นหวัง เพราะเงยหน้ามองไปมีแต่ทางชันๆข้างหน้าไม่มีหมดเลย แต่จะถึงเหนื่อยยังไงเราก็ไม่กล้าหยุดพักนาน พักนานสุดไม่เกิน 10 วินาที ความดราม่ายังไม่หมด เมื่อเรามัวแต่มองหาป้ายสัญลักษณ์ เลยมองไม่เห็นตอไม้ที่โผล่อยู่กลางทางวิ่ง เลยสะดุด สะดุดแรงมากจนล้ม ล้มแบบหงายหน้าลงไปเลย จังหวะนั้นปฏิกิริยาเรายังเร็วใช้ได้ เลยเอามือยันพื้นไว้ เลยมีมือและเข่าที่กระแทกพื้น โชคดีมากๆที่พื้นดินเป็นโคลน เลยไม่เจ็บมาก โชคดียิ่งกว่านั้นว่า จุดที่ล้มไม่มีหิน หรือตอไม้อยู่ มันอยู่ห่างจากขอนไม้แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ถ้าล้มช้ากว่านี้อีกนิด หัวฟาดขอนไม้แน่ๆ ตอนนั้นสำรวจตัวเองลวกๆ ส่องไฟดูมองไม่เห็นแผล เลยรีบปีนเขาต่อ มาเจอเพื่อนร่วมทางเป็นพี่ผู้หญิงกับผู้ชายอีกคน พี่ผู้หญิงไต่แซงเราไปก่อน แต่พี่ผู้ชายไม่ยอมแซง พี่เค้าบอกว่า ไม่ต้องรีบ เพราะทางอันตรายมาก เจ็บมาไม่คุ้ม ไม่ทันก็ไม่เป็นไร จนน่าจะเริ่มท้อแท้ บอกว่า ถ้าขึ้นไปถึง headquarter พี่จะหยุด ไม่ไปต่อละ เราได้แต่ให้กำลังใจพี่เค้าว่า เหลือแค่ 10 กิโลเอง อีก 10 กิโลเท่านั้น เรามาจบด้วยกันเถอะค่ะ จนเหมือนพี่เค้าช้าๆไป เราไม่ได้รอ เพราะตอนนั้นกลัวไม่ทัน cut off จริงๆ
เรามีเวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง 45 นาที กับ 7 กิโลหฤโหด คือ ต้องไปถึงข้างบนเขาก่อน 4 ทุ่ม 45 นาที แต่ไม่รู้ว่าไปจำยังไงว่า cut off คือ 4 ทุ่ม 15 นาที ตอนนั้นกังวลมากว่าจะไม่ทัน เพราะมันเร่งความเร็วไม่ได้ ทำได้ดีที่สุดแค่ห้ามหยุด ต้องเดินต่อเท่านั้น ตอนที่ท้อแท้มากๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า ตั้งแต่เล็กจนโต เรามีอย่างหนึ่งที่ทำได้ดีมาตลอด นั่นคือ การอดทน แม่กับพี่หนุ่ยรู้ดีว่า เราอดทนมากขนาดไหน คือ ถ้าเราคิดว่าเราทนไหว และเลือกที่จะทนแล้ว เราจะทนมันถึงที่สุด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ก็แค่ทำเรื่องที่ถนัดเท่านั้นเอง คิดได้แบบนี้มันก็ผ่อนคลายลง อาศัยการควบคุมลมหายใจช่วย บวกกับการรู้สึกตัวไปกับจังหวะการเคลื่อนไหวตามที่เคยทำจนชำนาญเวลาปฏิบัติธรรม มันฟุ้งมากก็คุยกับตัวเอง ไปๆมาๆก็เห็นแสงไฟของโรงเรียนศรีเนรูห์ลอดชายป่ามา โอ้โห นาทีนั้น ดีใจมากๆ รีบวิ่งขึ้นไปเลย สรุปว่า เราใช้เวลาไปทั้งหมด 7 กิโลนี้ 2 ชั่วโมง 58 นาที เข้าก่อน cut off ไปเกือบ 50 นาที เพิ่งมารู้เอาตอนหลังว่า จำเวลา cut off ผิด เร่งแทบตาย หัวร้อนสุดๆ
พอมาถึงจุดนี้ ก็เหลือระยะทางอีกแค่ 10 กิโลสุดท้ายเท่านั้น เช่นเคย รีบเติมน้ำ หาของกิน แล้วออกมาจาก headquarter เพราะเห็นมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งออกไป ถ้าไปทันกัน ไปกันเป็นคณะก็ดี เป็นพี่ผู้หญิงสองคนกับพี่ผู้ชายอีกหนึ่งคน เลยเกาะกันไปเรื่อยๆ จนมาเหลือเรากับพี่ผู้ชายไต่เขาลงมาด้วยกัน ทักทายกันไปมา เลยรู้ว่าพี่เขาชื่อพี่เอ้ อยู่จันทบุรี เคยมาซ้อมทางตรงนี้ด้วย ทาง 10 กิโลสุดท้าย แม้จะเป็นลงเขาอย่างเดียว แต่ไม่ง่ายเลย เพราะฝนตก หมอกลง ไฟคาดหัวส่องไม่ค่อยเห็น ทางช่วงแรกเป็นถนนดินแดงที่เละๆลื่นๆ จิกเท้ากันกระจาย พอเข้าช่วง single track เราก็เชิญพี่เอ้ให้ล่วงหน้าไปก่อน แต่พี่เขาไม่ยอมแซง เลยเกาะกันไปแบบนี้ ทางช่วงนั้น ทั้งตอไม้ หินลอย ดินเละๆลื่นๆ บางช่วงนี่เป็นบ่อโคลนเลย รองเท้าคู่ใจ La sportiva Akasha ที่แทบไม่เคยลื่นมาตลอดทั้งวัน ก็มาลื่นปรื้ดๆเอาตอนนี้แหละ อาศัยจิกเท้า หาที่วางเท้า ใช้ poles ค้ำไปเรื่อยๆ เลยคุยกับพี่เอ้ว่า ถ้าเราเดินเฉยๆไม่วิ่งเลย จะทัน cut off มั้ย พี่เค้าบอกว่าทัน น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เช็คเวลาตลอด
ทางขาลงนี้ป้ายสะท้อนแสงน้อยมาก ทำเอาเรากังวลเลย บางครั้งมันมีแยกซ้ายขวา โชคดีมากๆที่ได้พี่เอ้วิ่งมาด้วยกัน พี่เขาจะเช็คทางให้ตลอด เช่น พอเราลังเล พี่เขาจะบอกตลอดว่า ซ้ายครับ ขวาครับ ไม่หลงทาง ต้องขอบคุณมากจริงๆ มากันเรื่อยๆก็รู้สึกว่า มันไกลมากๆ แค่ 10 กิโล เป็นลงเขาด้วย ทำไมนานจัง จนมาเจอกำแพงวัดที่ลอดมาตอนเช้า นี่แทบจะโห่ร้องเลย ดีใจมากๆ พอเข้าเขตวัดก็เป็นถนนลาดยาง วิ่งลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนมาถึงถนนใหญ่ ตอนนั้นดีใจมากๆ แรงที่คิดว่าหมดไปนานแล้วถูกขุดมาอีกครั้ง ชวนกันวิ่งไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง เจอนักวิ่งเดินสวนมาก็บอกว่า ทันแน่นอนครับ ทันแน่นอน เวลาเหลือเฟือ อยู่ดีๆก็มีพี่ผู้ชายวิ่งตามมา หันไปดู เป็นพี่ผู้ชายคนที่สู้มาด้วยกันที่ A2 ที่พี่เขาบอกว่าจะ DNF ตัวเอง ดีใจมากๆ ที่พี่เขายอมลงมาต่อ แถมได้เข้าเส้นชัยพร้อมกันด้วย โค้งสุดท้ายก่อนเลี้ยวเข้าเส้นชัยมีคนออกมาเชียร์ บรรยากาศคึกคัก พอเห็นเส้นชัยก็คิดว่า รอดแล้วๆ รอดแล้วจริงๆ วิ่งเข้าไปสวยๆ ด้วยสภาพที่สะบักสะบอมที่สุดในชีวิต ระยะทางทั้งหมด 77 กิโล เวลารวม 18.31.09 ชั่วโมง เข้าก่อน cut off 29 นาที เป็นผู้หญิงคนที่ 12 จากที่วิ่งจบทั้งหมด 17 คนจากผู้หญิงทั้งหมด 53 คน เป็นคนที่ 58 จากคนทั้งหมดที่วิ่งจบ 72 คน จากจำนวนนักวิ่งรวมทั้งหมด 196 คน มาดูตัวเลขทีหลังแล้วถึงรู้ว่า คน DNF เยอะมากๆ การันตีความโหดจริงๆ

ภาพตอนเข้าเส้นชัยหนี cut off
มาดูสภาพร่างกายหลังวิ่งจบกัน ที่ล้มไป เป็นแผลที่หน้าแข้งเล็กน้อย เพราะได้รัดน่องช่วยไว้ แต่เข่าสองข้างช้ำม่วงเลย ส่วนเล็บที่ไปเตะก้อนหินอย่างแรงนั้น ห้อเลือดจนดำเลย แต่ไม่เจ็บมากมายอะไร ให้พี่หนุ่ยดูแล้วบอกว่า ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องถอดเล็บ สภาพโดยรวมไม่มีอาการบาดเจ็บใดๆเลย มีปวดเมื่อยตามปกติ ที่ปวดเมื่อยมากที่สุดคงจะเป็นต้นขาเพราะใช้เยอะที่สุด จะว่าไปงานนี้แม้จะโหดที่สุด แต่ร่างกายเราแข็งแรงใช้ได้ ตลอดทางไม่ได้ฉีดสเปรย์เลยแม้แต่นิดเดียว ตะคริวก็ไม่มี ข้อเท้าที่กังวลว่าเป็นจุดอ่อน งานนี้ไม่เจ็บซักแอะเดียว แสดงว่าที่ซ้อมมาทั้งหมดไม่เสียแรงเปล่าเลยจริงๆ
มานั่งประมวลผลประกอบการทั้งหมดก็มาเจอจุดอ่อนเช่นเคย นอกจากการเดินเร็วที่ยังคงเร็วไม่พอแล้ว ยังเจอจุดด้อยข้อใหญ่มากๆ ที่ทำเอาเสียเวลากับมันไปมากก็คือ ความกล้าที่จะวิ่ง downhill บนทาง technical terrain พูดถึงเรื่องนี้ เป็นนิสัยส่วนตัวเลย คือคนที่รู้จักเราดี จะรู้ว่า เราเป็นคน conservative เป็นคนคิดเยอะ และถ้าไม่มั่นใจมักไม่กล้าเสี่ยง ที่ผ่านมาในชีวิตเลยไม่ค่อยโลดโผนมาก มาวิ่งเทรลได้นี่คือ กิจกรรมที่ extreme ที่สุดในชีวิตละ ทาง technical terrain เนี่ย บอกได้เลยว่า ถ้ามีโอกาสล้ม เราไม่กล้าวิ่งใส่แน่นอน วิธีแก้ไขมีวิธีเดียวเท่านั้นจริงๆ Practice makes Perfect ! ต้องซ้อมกับทางจริงบ่อยๆนั่นเอง นี่ก็เกริ่นๆกับพี่หนุ่ยไว้แล้วว่า สงสัยจะได้ชวนพี่หนุ่ยไปตีกอล์ฟที่เชียงใหม่บ่อยขึ้นซะแล้ว
สุดท้ายแล้วกับเป้าหมายต่อไป มีคนถามว่า จะวิ่ง 100 กิโลเมื่อไหร่ จากการวิเคราะห์สภาพร่างกายของเรา เราคิดว่าน่าจะพอวิ่งบางรายการได้แล้ว แต่... เราไม่รีบค่ะ ไม่รีบเลยจริงๆ บอกตามตรงว่า อยากเป็นนักกีฬาที่มีคุณภาพ นี่วิ่งมาได้แค่ 2 ปีเท่านั้นเอง ยังคิดว่าประสบการณ์ยังน้อยเกินไปสำหรับ 100 กิโล คิดว่าคงจะวนเวียนอยู่แถวๆระยะ 50-70 นี้ไปอีกประมาณ 2 ปี เหมือนที่บอกไปแล้วแหละค่ะว่า เราเป็นคน conservative :)
stats จาก Suunto จริงๆคือวิ่งไป 77-78 กิโลได้เลย แต่แบตหมดเสียก่อน