ตั้งแต่เริ่มวิ่งจริงจังขึ้นมา เชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายในการวิ่งกันทั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นความฝันของนักวิ่งหลายๆคนนั่นคือ การจบมาราธอนแรกให้ได้สักครั้ง แต่พอจบมาราธอนแล้ว เป้าหมายของหลายๆคนอาจจะแตกต่างกันออกไป บางคนโฟกัสไปที่การทำเวลาให้ดีขึ้น บางคนมองหาการการวิ่งมาราธอนในสนามต่างประเทศ บางคนก็อาจจะไม่อยากวิ่งมาราธอนอีกเลย และ บางคนอาจมองหาความท้าทายมากขึ้น นั่นก็คือ การก้าวข้ามระยะมาราธอนไปสู่ระยะอัลตร้ามาราธอน เราก็เป็นหนึ่งในนั้น การเริ่มต้นที่ระยะ 50 กิโลดูจะเป็นอะไรที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด
ตอนจะลงมาราธอน เคยคุยกับพี่หนุ่ย(สามี)ว่า คงจะจบแค่มาราธอนเท่านั้น เพราะแค่นี้ก็รู้สึกว่า มากเกินพอแล้ว แต่ความคิดหลายๆอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่ออยู่ดีๆก็เกิดความรู้สึกเบื่อการวิ่งบนถนนขึ้นมา กลายเป็นมาชอบวิ่งเทรลหรือวิ่งในป่ามากขึ้น จากผลงานที่ผ่านๆมาก็เลยมาวิเคราะห์ดูว่า เรามีความสามารถและความอดทนพอจะวิ่งมากกว่ามาราธอนหรือไม่ คำตอบคือ ก็น่าจะพอไหวน้าาาาา 555 สุดท้ายเลยกดสมัครรายการ The Northface 100 Thailand 2017 ไป ระยะที่เลือกคือ 50 กิโลเมตร baby ultratrail
พอมีเป้าหมายแล้ว สิ่งที่ต้องโฟกัสต่อมาก็คือ การซ้อม! ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากลำบากที่สุด ยิ่งกว่าการลงวิ่งแข่งอีก เพราะเราวิ่งคนเดียวมาตลอด ซ้อมคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายมาตั้งแต่พี่หนุ่ยเลิกวิ่งไป และด้วยความที่เป็นผู้หญิงวิ่งคนเดียว การซ้อมจึงมีข้อจำกัดมากขึ้น จะให้ไปวิ่งในป่าในไร่คนเดียวก็อันตรายเกินไป ที่พึ่งสุดท้ายของเราจึงเป็นการวิ่ง City Run วางแผนการวิ่งไปรอบเมืองปากช่องเลยทีเดียว การวิ่งคนเดียวมีสิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือ ต้องวางแผนอย่างรัดกุม และต้องมีความอึดพอที่จะแบกเป้น้ำใส่ของกินโดยไร้เพื่อนหรือทีมซัพพอร์ต นี่แหละ มันยากตรงนี้แหละ
เราไปหาข้อมูลมา ว่ากันว่า ระยะอัลตร้า ถ้าพอวิ่งได้ ให้ลองวิ่งให้ถึงระยะสักครั้ง เพราะเราไม่รู้เลยว่า หลังจากเลย 42 กิโลไป จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราเลยวางแผนการวิ่งช่วงสิ้นปีว่า จะให้ถึง 50 กิโลสักครั้ง แต่เนื่องจากเจอช่วงไว้อาลัย งานวิ่งที่วางแผนไว้ ทุกอย่างจึงเลื่อนมาอยู่ปลายปีหมด ต้องไปวิ่ง 25 กิโล งานดงมะไฟเทรล เพราะอยากทำผลงานให้ดี จะซ้อมวิ่งยาวเลยต้องเลื่อนไปเป็นต้นปี ตอนนั้นตัดสินใจยากเหมือนกันเพราะต้องลงแข่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ จะมาวิ่ง 50 กิโลต้นเดือนมกรา มีเวลาพักเดือนเดียวนี่ไม่เคยทำมาก่อน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมเสี่ยง เพราะไม่อยากวิ่งไม่จบ เลย city run ไปคนเดียว วันนั้นวิ่งไป 50 กิโล รอบเมืองปากช่องเลยทีเดียว รูทวิ่งมีเนิน ต้องวิ่งขึ้นเขาลงเขาทั้งไปทั้งกลับ ก็ยังพอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง โชคดีมากที่ซ้อมใหญ่ครั้งนั้น ปลอดภัยไร้อาการบาดเจ็บ จากนั้นก็พักยาวๆ วิ่งบ้างเล็กน้อยจนมาถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์
งาน The Northface 100 Thailand นี้ ถือว่าเป็นงานในความทรงจำ เพราะปีที่แล้วลงวิ่งเทรลครั้งแรกที่นี่ 15 กิโล และทำผลงานได้ดีเกินคาด คือ ได้ที่ 1 ของช่วงอายุ นั่นกลายเป็นความประทับใจแรกของการวิ่งเทรลเลยทีเดียว สนามนี้มีชื่อเสียงความโด่งดังในเรื่อง ความร้อน! เพราะวิ่งช่วงต้นปี แดดหน้าหนาวปากช่องเนี่ย ร้ายกาจมากกกกก เรื่องความชันไม่ยากมาก ปัญหาใหญ่ที่นักวิ่งทุกคนต้องรับมือคือ ความร้อนของแดดหน้าหนาวในการวิ่งตากแดดทั้งวัน และสภาพสนามที่เต็มไปด้วยหิน ทั้งคมและแข็ง เรื่องความร้อนที่ทำได้คือต้องเตรียมใจ ส่วนเรื่องหิน ส่วนตัวเลือกรองเท้าที่ไม่บางมาก เลยเลือกใช้บริการลูกรัก Altra Lonepeak เหมือนเดิม เส้นทางวิ่งปีนี้ วิ่งย้อนจากทางเดิมของทุกปี มานั่งส่องแผนที่ก็จะเจอว่า ช่วง 20 กิโลสุดท้าย ต้องไต่เขา 2 ลูกชันๆ เลยต้องได้มาวางแผนเรื่อง trekking pole ใหม่ ตอนแรกว่าจะไม่ใช้ พี่หนุ่ยแนะนำว่า ให้เอาใส่ drop bag ไปไว้ที่จุด check point ที่กิโลที่ 30 เถอะ เผื่อไว้ก่อน ตอนนั้นค่อยประเมินตัวเอง จะใช้ไม่ใช้ค่อยว่ากัน
เส้นทางวิ่งและความชันของ 50 กิโล 100 กิโล คือวิ่ง 2 รอบ!
วันก่อนวิ่ง คุยๆกับพี่หนุ่ยขอกำลังใจ พี่หนุ่ยก็ให้กำลังใจ ตามสไตล์พี่หนุ่ยว่า ถ้าไม่บาดเจ็บหนักหนาอะไรก็วิ่งจบอยู่แล้วแหละ! ทั้งตื่นเต้น ทั้งขี้เกียจ เลยวางใจใหม่ว่า ทุกวันนี้ที่วิ่งเพราะมีความสุขใช่มั้ย งั้นพรุ่งนี้ก็แค่ออกไปวิ่งเหมือนทุกวันที่ซ้อม วิ่งอย่างมีความสุขน่ะ อย่างอื่นช่างมัน มันก็ผ่อนคลายลง วันวิ่งจริงตื่นเช้ามืด พี่หนุ่ยขับรถไปส่ง วางแผนกันไว้ว่า ช่วงเราวิ่ง พี่หนุ่ยจะไปตีกอล์ฟ ตีกอล์ฟเสร็จค่อยมารับเราตอนบ่าย กะๆกันไว้ น่าจะประมาณ 7 ชั่วโมงครึ่ง ประมาณนี้ มาถึงสนาม พี่หนุ่ยก็อวยพรขอให้วิ่งจบ ไม่เจ็บ แล้วก็ขอตัวไปก่อน เราจึงได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง วอร์มอัพนิดๆหน่อยๆ เพราะคนเยอะมากกก แทบไม่มีที่จะให้วอร์ม รอเวลาปล่อยตัวตอนตี 5:45
ช่วงปล่อยตัว ไปต่อแถวกับนักวิ่งอื่นๆตรวจอุปกรณ์บังคับ แล้วก็เข้าไปที่จุดสตาร์ท ตอนนั้นมันไม่มีความตื่นเต้นเลย รู้สึกเหมือนตอนวิ่งซ้อมคนเดียวแต่แค่มีเพื่อนร่วมวิ่งหลายคนเท่านั้น เราอยู่ใน wave 2 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิ่งสาวๆ พวกผู้ชายไปก่อนแล้วใน wave แรก ออกตัวไปแบบสบายๆ จำได้จากปีก่อนว่า ถ้าวิ่งย้อนมันต้องไต่เนินตั้งแต่กิโลแรกๆเลย เลยทำใจไปแล้ว ก็ไต่เนินที่เป็นถนนลาดยางจริงๆ ตอนแรกคุมเพซไว้สบายๆ 6.30 – 7.30 บอกตัวเองตลอดว่า ไม่ต้องรีบ ยังเหลืออีกเยอะ แล้วก็ไม่ได้รีบจริงๆ เพราะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น เท้าขวามีอาการเหน็บชา คือมันไม่ใช่ตะคริว มันคือ เหน็บชาเฉยๆ ไม่เจ็บ แต่รำคาญมาก เพราะวิ่งแล้วไม่มีความรู้สึกเลย เคยเป็นแบบนี้มาก่อน มักจะเป็นตอนเริ่มออกตัวใหม่ๆแต่ต้องวิ่งขึ้นเนินเลย ตอนนั้นเลยวิ่งเร็วมากไม่ได้ วิ่งไประยะหนึ่งก็กังวลจนต้องเดิน มันก็ไม่ยอมหาย ตอนนั้นก็เลยทำใจละ ไม่หวังว่ามันจะหาย วิ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจุด check point แรก วิ่งไต่เนินยาวๆ อยู่ดีๆ มันก็หาย! ตอนนั้นคึกมาก ไต่เนินยาวๆแซงชาวบ้านมาเลย 555 ตั้งแต่นั้นมาถึงจะเริ่มวิ่งสนุก
ช่วง 10 กิโลแรก แดดอ่อนๆ ยังยิ้มได้
ช่วง 30 กิโลแรกเป็นอะไรที่สนุก เพราะแดดยังไม่แรง พอเข้าทางเทรลแล้วก็สนุกดี ขึ้นเนิน ลงเนิน เข้าป่า เข้าไร่กันไป แซงชาวบ้าน ถูกชาวบ้านแซงบ้าง ทุกอย่างมาเริ่มเข้าช่วงวัดใจเมื่อมาถึง จุด check point3 ที่กิโลที่ 30 ตอนนั้นวิ่งไป 4 ชั่วโมงนิดๆอยู่เลย ดูนาฬิกายังคิดว่า น่าจะจบตามที่ตั้งใจไว้ ร่างกายก็ยังสดอยู่ ไม่ได้บาดเจ็บอะไร แค่เมื่อยๆตึงๆ ที่น่าระวังมีแค่ข้อเท้าซ้ายบนที่เป็นจุดอ่อนล่าสุดที่เจอหลังวิ่งงานดงมะไฟ รู้สึกว่ามันไม่แข็งแรง เวลาลงเนินต้องยันเท้า จะเจ็บนิดๆ ให้รำคาญ แต่มันก็หายไปบ้าง โผล่มาบ้างตามโอกาส คิดสะระตะแล้ว สุดท้ายก็แวะเอา trekking pole ที่จุด check point ด้วยความคิดที่ว่า เผื่อเอาไว้ เลยหยิบข้างขวามาถือไว้อันหนึ่ง
ดูแดดนั่นสิคะ นี่ยิ้มเพราะเจอตากล้อง XD
และแล้ว... ก็ต้องเจอไต่เขาช่วง 20 กิโลสุดท้าย อื้อหือ ท่ามกลางแดดร้อนๆ ไม่มีร่มเลย อุณหภูมิที่พีคที่สุด 40 กว่าองศา คือ ตอนนั้นพยายามคิดบวก ให้กำลังใจตัวเองตลอด มันไม่ได้เหนื่อยมาก heart rate ไม่ขึ้นเลย แต่ร้อนมากกกกกก ไอแดดแผดเผา ลดทอนแรงวิ่งลงไปอีก 50 % เลย ตอนนั้น cheer up ตัวเองตลอด เพราะแดดร้อน ทำให้ไม่อยากวิ่ง นักวิ่งส่วนใหญ่เลยเดินกันเป็นแถว แต่ต้อง push ตัวเองให้วิ่งมากกว่าเดิน ไม่งั้นจะท้อแท้มาก และไม่มีประโยชน์อะไรกับการเดินกลางแดดร้อนๆ รีบวิ่งให้มันจบๆไปจะดีกว่า ที่พีคที่สุดคือ การไต่เขาตอนบ่าย มันชันและคดเคี้ยวมาก ตอนนั้นรู้สึกขอบคุณพี่หนุ่ยมากๆที่วางแผนให้เราเอา pole มา drop ไว้ และขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจหยิบติดมือมา มันช่วยได้เยอะมากกกกก ในช่วงที่ขาล้ามาก ก็ได้ pole นี่แหละที่ปักลงดินส่งแรงขึ้นไป ตอนไต่เขาไต่กับนักวิ่งผู้ชายทั้งนั้น ส่วนใหญ่ไม่พก pole นั่งหน้ามืดหมดอาลัยตายอยากกันระหว่างทางเยอะมาก ไอ้เราตั้งใจไว้ว่า จะไม่หยุด เพราะรู้ว่าหยุดแล้วจะไปต่อยาก เลยก้มหน้าก้มตาไต่ไปเรื่อยๆ ได้แต่ยิ้มๆให้กำลังใจนักวิ่งที่นั่งหน้ามืดระหว่างทาง หลายคนถึงกับอุทานขึ้นมาว่า จะให้ขึ้นมาทำไมเนี่ย! จนในที่สุดก็มาถึงยอดเนินจนได้ เราพยายามยิ้มบ่อยๆ เค้นเอาพลังบวกมาใช้ เราทักทายชาวบ้านที่ออกมาเชียร์ โบกมือให้เด็กๆ ยิ้มและขอบคุณอาสาสมัคร รวมถึงยิ้มให้นักวิ่งร่วมทาง ก็พอจะช่วยให้พาตัวเองผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากมาได้

มีความพยายาม cheer up ตัวเองสุดๆ
พอพ้นมาก็เข้าช่วงท้ายๆ แรงพลังหมดไปกับการไต่เขาไปเยอะเลยทีเดียว ก็มาเจอช่วงที่อันตรายที่สุด คือ ไต่หน้าผาหิน มันจะเป็นทางแคบๆเลาะตามเขาที่เป็นหินเต็มไปหมด ด้านขวามือ ถ้าพลาดคือ ตกเขาเลย ตอนนั้นตัดสินใจไม่วิ่งเลย ตั้งสติกับ pole เดินอย่างระวัง คิดถึงที่พี่หนุ่ยคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นห่วงเราวิ่งเทรลว่ากลัวอุบัติเหตุ ว่า ไม่ต้องห่วงเราหรอก เพราะเราเป็นนักวิ่งที่ไม่เสี่ยง คือ เป็นนักวิ่งขี้กลัวนั่นเอง 555 ก็กลัวจริงๆน่ะแหละ ตกเขาหรือล้มไปไม่คุ้ม ใครจะวิ่งก็วิ่งไปเถอะช่วงนี้ ได้แต่เดินปัก pole ไปเรื่อยๆ ดูเหมือนไม่ใช้แรงแต่เครียดมากเลย ใช้สมาธิเยอะ
รอดจากหน้าผาหินมาได้ ก็เป็นช่วงทางสบายๆ เนินบ้าง ทางราบบ้าง แต่มันไม่ได้สบายเลย เพราะแรงที่ใกล้หมดกับแดดที่แผดเผาอย่างต่อเนื่อง เหมือนวิ่งในเตาอบ พอมาถึง 6 กิโลสุดท้าย ตอนนั้นพยายามเค้นพลังออกมา วิ่งให้ได้มากที่สุด เดินให้น้อยที่สุด ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จนมาถึง 2 กิโลสุดท้าย กลับมาวิ่งบนถนนลาดยาง ตอนนั้นสภาพแต่ละคนสะบักสะบอมมาก ได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ คิดถึงเส้นชัยละ จนเข้ามาช่วงกิโลท้ายๆ นี่ก็พยายามวิ่งเอาคนข้างหน้าเป็นเป้าหมาย ว่าขอแซงคนนี้ให้ได้หน่อยเถอะอะไรประมาณนี้ พอใกล้จะเข้าเส้นชัย แรงพลังที่เก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดมันก็ถูกนำออกมาใช้ ตอนนั้นก็จัดฟอร์มวิ่งใหม่ วิ่งเลี้ยวเข้างาน ยิ้มๆ มีกองเชียร์ปรบมือให้ วิ่งเข้าไปแบบสบายๆ

สีหน้าเมื่อผ่านไป 40 กว่ากิโลแล้ว และวิ่งลงเนิน 555
พอเข้าเส้นชัยตอนนั้น ในหัวคิด รอดแล้วๆ หลังจากยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่มาช่วยถอด chip ที่ข้อเท้า คุณลุงญี่ปุ่นคนหนึ่งก็มาแสดงความยินดีด้วย น่ารักมาก กำลังเดินๆออกจากคอกกั้น พี่หนุ่ยก็ตะโกนเรียกจากข้างนอก โอ๊ยยย คนอื่นเขามารับนักวิ่งในเส้นชัย มีมากอด มีดอกไม้ อันนี้ไม่มีอะไรเลย แม้แต่คำว่า ยินดีด้วยก็ยังไม่มี สมเป็นพี่หนุ่ยสไตล์จริงๆ 55555 มาถามทีหลัง นี่ไม่ปลาบปลื้มเลยเหรอ เราวิ่ง 50 กิโลจบ เจ้าตัวบอก ไม่นะ ก็รู้ว่าวิ่งจบอยู่แล้วแหละ จะกลัวก็แค่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่น อุบัติเหตุอะไรเท่านั้น อืม ขอบคุณที่เชื่อใจกัน ไม่ต้องมากอด หรือมีดอกไม้ก็ได้ ขอแค่ยังช่วยสนับสนุนกันแบบนี้ก็พอแล้วค่ะ 
พอวิ่งจบมาวิเคราะห์กันกับพี่หนุ่ย มีอะไรอีกหลายอย่างที่เราต้องปรับปรุงและพัฒนา อย่างแรกเลยคือ การเดินที่เดินสลับการวิ่ง เรายังเดินช้าเหมือนเดิม เสียเวลา เสียแรงไปเยอะ พี่หนุ่ยบอกว่า ต้องฝึกเดินเร็ว ให้เป็น powerful walker นะ อันนี้พี่หนุ่ยเทรนได้ เพราะทุกวันนี้เดินไม่เคยทันพี่หนุ่ย นอกจากนี้ก็น่าจะเป็นต้องหมั่นฝึกตะกุยเนินให้มากกว่านี้ อาจต้องวิ่ง Hill Repeats เอง เลือกเนินเอาตามสบายแถวบ้านนี่แหละ และเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงกว่านี้ ตามจุดอ่อนต่างๆ พวกข้อเท้า ข้อพับ ต้นขา และน่อง รวมถึงแกนกลางลำตัว

คุณสามีผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตการวิ่งของเรา LOVE!
สรุป เราวิ่งจบแบบไร้รอยขีดข่วนและอาการบาดเจ็บ จบในเวลา 7:59:13 ชั่วโมง เป็นอันดับที่ 131/732 คนจากทั้งหมด เป็นผู้หญิงคนที่ 18/177 คน และถ้าแบ่งตามช่วงอายุไม่เกิน 30 ปี เราเป็นคนแรกด้วย มาดูข้อมูลจาก chip ไม่น่าเชื่อว่าจะวิ่งแซงผู้ชายมาเป็นร้อย อิอิ เป็น ultramarathon แรกที่ประทับใจมาก ได้ก้ามข้ามอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้ อย่างน้อยก็คือเรื่องแดด จากนี้ไปไม่กลัวแดดอีกละ! จากนี้ไปพักยาวๆ ปิดท้าย season นี้ด้วย The Navigator Thailand ที่เชียงใหม่เดือนหน้า ก็จะได้เทรนตัวเองยาวๆแล้ว ปีนี้จะวิ่งให้น้อยลง เน้นรายการคุณภาพ และระยะทางที่มากขึ้น เรื่องความฝันของการวิ่ง 100 กิโลนั้น ขอแอบฝันอยู่ไกลๆ ละกัน เพราะรู้ตัวเลย running backgrounds ยังน้อยไป อยากเป็นนักวิ่งที่มีคุณภาพ ประเมินแล้วต้องซ้อม ต้องพัฒนาตัวเอง ไม่ต่ำกว่า 3 ปี ยาวๆไป เลยจ้า
ผลการวิ่งค่ะ เป็น ultra แรกที่โอเคนะ :)
ขอบคุณภาพสวยๆจาก RecRace ค่ะ ใจดีมาก ให้ภาพฟรีด้วย