The Northface100Thailand
เป็นรายการวิ่งเทรลรายการแรกที่เราลงวิ่งเมื่อ 3 ปีก่อน
หลังจากนั้นก็ประทับใจในการวิ่งเทรลมาก และตั้งใจจะลงวิ่งรายการนี้ทุกปี
เพราะจัดที่เขาใหญ่ใกล้บ้าน และชอบผู้จัดเจ้านี้เป็นการส่วนตัว ปีแรกลง 15 กิโล ปีที่สองลง 50 กิโล และปีนี้ ปีที่สาม ลง 75
กิโล มีความค่อยเป็นค่อยไป
สภาพร่างกายก่อนแข่ง เราซ้อมวิ่งยาว 75 กิโลตอนต้นเดือนธันวาคม เพราะวิ่งคนเดียว เลยต้องวิ่งถนน แรงกระแทกเยอะ
ทำให้มีอาการเจ็บหัวเข่าข้างขวาตามมาให้รำคาญใจเล็กน้อย
ทำให้ต้องพักเยอะขึ้นและทำกายภาพด้วยตัวเองทุกวัน อาการก็ดีขึ้น
จนกระทั่งก่อนแข่งสองสัปดาห์ มีรายการวิ่งมินิมาราธอนแถวบ้าน เสื้อวิ่งและ
concept งานน่ารักดี เลยลงวิ่งมินิไป แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
เราเกิดอุบัติเหตุหกล้มขณะวิ่ง ได้แผลที่เข่าและขาข้างขวา แม้จะเป็นแค่แผลถลอก
แต่ก็รบกวนสภาพร่างกายและจิตใจก่อนลงวิ่งรายการใหญ่ได้พอสมควร โชคดีที่มีเวลาพัก
จึงหายทันพอดี
แผลที่ได้จากการวิ่งMini!
The Northface100Thailand ปีนี้
ยังคงจัดการแข่งขันที่เขาใหญ่เหมือนเดิม เพียงแต่ย้ายจุดปล่อยตัวมาเป็นไร่วรนาถที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน
เส้นทางวิ่งมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย (ซึ่งมาค้นพบทีหลังว่า
ไม่เล็กน้อยเลย) ระยะ75 กิโล มี cut
off 13.30 ชั่วโมง โดยจะมีจุด checkpoint 5 จุด
ทุกจุดมี cut off ยิบย่อยอีก ใครที่เคยวิ่งรายการนี้จะทราบดีว่า
สิ่งที่น่ากลัวมีสองอย่าง หนึ่งคือ แดดที่ร้อนแรงของเขาใหญ่ สองคือ cut
off! ปีนี้อากาศดีเย็นสบายไม่มีแดด cut off นี่แหละคือ
สิ่งที่น่ากลัวของจริง ด้วยสภาพร่างกายที่เรียกว่าไม่พร้อมรบ 100% บวกกับความกังวลเรื่อง cut off เราเลยกังวลกับการวิ่งครั้งนี้มาก
มากกว่าทุกรายการที่ผ่านมาเลยค่ะ ถึงขนาดก่อนวิ่งนอนแทบไม่หลับเลย
แผนที่และความชัน
ถ่ายรูปกับพี่ๆในกลุ่มก่อนวิ่ง
เช้าวันวิ่ง พี่หนุ่ยมาส่งตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง อากาศเย็นๆและบรรยากาศของการแข่งขันทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ก็พร้อมออกวิ่ง ปล่อยตัวระยะ 75 กิโลในเวลาตี 5.15 นาที โดยระยะ 75 กิโล เป็นระยะที่คนลงวิ่งน้อยที่สุด
มีแค่ 64 คนเท่านั้น เป็นผู้หญิงแค่ 21 คนเอง เรียกได้ว่าน้อยมากๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนถึงไม่ค่อยลงกัน
บรรยากาศก่อนการปล่อยตัวเลยเป็นกันเองมาก เราออกวิ่งในเพซสบายๆ
ทางช่วงแรกเหมือนกับปีก่อนๆคือจะเป็นทางถนนลาดยางยาวๆขึ้นเนินลูกหนึ่งก่อนจะแวะเข้าทางเทรล
เราวิ่งไม่ช้าไม่เร็ว พอขึ้นเนินก็เดินเร็วๆขึ้นไป เพราะจากประสบการณ์
ถ้าวิ่งเข้าใส่จริงจังตั้งแต่แรก อาการเหน็บชาที่ขาจะมาเยือน วิ่งไม่สนุก
งานนี้วางแผนมาดี ไม่เป็นเหน็บชาเลย
พอเข้าส่วนทางเทรลก็วิ่งช้าวิ่งเร็วสลับกันไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็เปลี่ยนมาเดินเร็ว เรารักษาเวลาได้ค่อนข้างดี จนกระทั่งวิ่งไปถึงจุดกลับตัวก็เริ่มสวนกับนักวิ่ง
75 กิโลคนอื่นและ Elite 50 กิโลบางคนวิ่งตามมาทัน
ทางของ 75 กิโล รอบแรกจะวิ่งเส้นทางของ 25 กิโล รอบที่สองจะวิ่งเส้นทางของ 50 กิโล
ดังนั้นพอเลยจุดกลับตัวที่แยกกับระยะอื่นจึงไม่เจอนักวิ่งระยะไหนเลย
วิ่งคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่เราชอบมาก สบายใจดี
คุยกับตัวเองไปเรื่อยๆก็มาถึงภูเขาหน้าผาหิน ทางตรงนี้เมื่อปีที่แล้วที่ลง 50
กิโลจะอยู่ช่วงท้ายๆ ปีนี้ ของ 75 มาอยู่ตอนช่วงแรก
ทางช่วงนี้จะไต่ภูเขาหินที่มีหญ้าขึ้นรกๆ
ลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆอีกฝั่งเป็นหน้าผา
ทางวิ่งมีหินเต็มไปหมดแถมหินพวกนี้ยังอยู่ใต้หญ้าแห้งๆที่ถูกถางล้มเป็นทางวิ่ง
เราวิ่งไม่ได้เลย ได้แต่เดินช้าๆเร็วๆสลับกัน สะดุดหลายครั้งมาก แต่ก็ไม่ล้ม
เสียเวลาไปมากมายกับตรงนี้
พอหลุดภูเขาหินมาได้ก็วิ่งรัวๆมาเรื่อยๆ
เช็คจากแผนที่ก็เห็นว่าจะเข้าช่วงที่เป็นเนินที่สูงที่สุด 600 กว่าเมตร ตรงจุดนี้ทางผู้จัดบอกตอนบรีฟว่าเป็นทางใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
จริงๆแล้วมันคือ ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าทั้งลูก ที่ชันมากกกกก ตรงตีนภูเขามีจุด checkpoint
อยู่ เราพักเติมน้ำ กินแตงโม และทำใจก่อนจะค่อยๆไต่ขึ้นเขาต่อไป คิดภาพเป็นภูเขาสูงๆมีหญ้าสีทองคลุม
วิวสวยและอากาศดีมากๆ แต่แทบไม่มีเวลาได้ชื่นชมกับอะไร
ได้แต่หายใจพะงาบๆไต่ขึ้นเนิน งานนี้เราตัดสินใจไม่ใช้ trekking poles เพราะความชันรวมไม่เยอะมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอภูเขาลูกนี้แถมมาเหมือนกัน 555 ตอนนั้นไม่คิดอะไรมาก
โฟกัสไปที่การเดินขึ้นเนินที่เคยอ่านเจอที่ Max King Team Salomon บอกว่า ให้ก้าวยาวๆเท่าที่จะทำได้ ลงส้นเลยก็ได้
ก็พยายามก้าวยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว พอขึ้นไปถึงยอดเขาได้นี่แทบจะกรีดร้อง 555
ทางช่วงที่อยู่บนเขาก็เป็นทางวิ่งเล็กๆท่ามกลางพงหญ้าข้างล่างมีหินและตอไม้เต็มไปหมด
วิ่งได้บ้างไม่ได้บ้าง จนคุณเจ นักวิ่งElite ที่ปีนี้ลงวิ่งเล่นๆ
25 กิโลตามมาทัน เป็นคนแรกของ 25 กิโลเลย
คุณเจทักทายคุยกันเล็กน้อย
ก่อนจะวิ่งซอกแซกๆไปมาบนก้อนหินที่เราวิ่งไม่ได้นั่นแหละ หายวับไปอย่างรวดเร็ว
ได้แต่หัวเราะอยู่คนเดียว มันคือความแตกต่างของ Elite กับ
คนธรรมดาจริงๆ จนมาถึงช่วงลงเนิน ก็พอจะวิ่งได้บ้าง ได้ฝึกวิ่งลงเนินทาง Technical
terrain ที่ไม่ชอบ ก็พอเอาตัวรอดได้ สนุกดีเหมือนกัน
วิ่งลงเนินกลับลงมาตรงจุด checkpoint ที่ตีนเขาที่เดิม
เราแวะกินแตงโมนิดหน่อย ก่อนจะรีบออกวิ่งต่อไป
ภูเขาหญ้าในตำนาน ^0^
ตอนนั้นดูนาฬิกา เช็คแผนที่ ทางวิ่ง 25 กิโลช่วงแรกนี้ ที่จริงแล้วมันคือ ช่วง 25 กิโลหลังของระยะ
50 กิโล นั่นแปลว่า ช่วงเย็นๆเราจะต้องวนมาเจอทางช่วงนี้อีกครั้ง
ตอนนั้นเริ่มรู้สึกว่า cut off มันน่ากลัวจริงๆ
เพราะภูเขาสองลูกนี้กินเวลาไปมาก นี่เราต้องเจอรวมๆ 4 ลูกใหญ่ๆ
และเนินใหญ่เนินเล็กอีกนับไม่ถ้วน พอดูนาฬิกา cut off แรกของระยะ
25 กิโลคือ 4.15 ชั่วโมง !! ตอนนั้นดูเวลาแล้วตาลุกเลย เหลืออีก 5 กิโล
แถมยังมีเนินชันๆเล็กน้อยอีกเนินหนึ่ง เลยวิ่งรัวๆแทบไม่หยุด จะหยุดคือเจอเนินยาวๆ
ที่ต้องเดินเร็วเข้าใส่ ช่วงนั้นเจอนักวิ่ง 25 กิโลบางส่วนแล้ว
ก็ได้นักวิ่ง 25 กิโลนี่แหละที่ช่วยลากไป
เราก็ไหลตามเขาไปเรื่อยๆ จนมาเข้าทางลาดยางช่วงท้ายๆ ก่อนจะตัดเข้าคันนาผ่านสวนผักชาวบ้าน
ก็เจอนักวิ่ง 75 กิโล ทักทายกันไปมา เป็นคนจีน คุยไปคุยมายังได้บอกเขาด้วยนะว่า
เราชอบดูซีรีย์จีน เป็นแฟนคลับตีลี่เล่อปา 5555 ลากเขาไปได้เรื่อยๆจนเขาหยุดเดิน
เราเลยวิ่งต่อไปจนไปถึงกิโลสุดท้าย ตอนนั้นสวนกับนักวิ่ง 75 กิโลบางคนที่ออกจาก
checkpoint แรก เพื่อที่จะวิ่งรอบสอง
ได้แต่โบกมือทักทายกันไป ในที่สุดเราก็เข้า checkpoint แรกเวลา 3.48 ชั่วโมง ก่อน cut
off ไป 27 นาที มีความหัวร้อนมากเลย! เชื่อว่ามีหลายคนที่ไม่ทัน cut off แรกนี้
โหดร้ายมากเลยค่ะ
สภาพหัวร้อนก่อนเข้า checkpoint แรก
เรากินแตงโม
เติมน้ำ ชวนเด็กๆอาสาสมัครคุย น่าจะไม่เนิน 5 นาทีก็รีบออกจาก
checkpoint แรก เรามีเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเพื่อที่จะไป
checkpoint 2 ที่อยู่ห่างออกไป 9 กิโล
พอหายอกหายใจได้บ้าง ตอนนั้นเดินเร็วไปเรื่อยๆก็วางแผนวิ่งไปเรื่อยๆ
ต้องคิดใหม่ทำใหม่ เพราะทางวิ่งไม่ได้ง่าย มีภูเขาใหญ่ๆ 4 ลูก
และเนินอีกนับไม่ถ้วน ตอนบ่ายๆเย็นๆต้องไปเจอภูเขาหินและภูเขาหญ้าอีก จะมาเอ้อระเหยลอยชายไม่ได้
เลยตั้งใจไว้ว่า ถ้าไม่ได้ไต่ภูเขา จะวิ่งสลับเดินอย่างจริงจัง ก็คือ
วิ่งให้ได้มากกว่าเดิน เวลาเดินต้องเดินเร็วสูตร David ห้ามเดินช้ากว่าเพซ
10 เวลาเจอเนินลูกเล็กๆห้ามขี้เกียจ วิ่งใส่มันบ้างก็ได้
ทางวิ่งช่วงนี้คือย้อนรอยทางเดิมที่วิ่งตอนเช้าบางส่วน
แต่จะไม่ได้ผ่านภูเขาโหดสองลูกนั้น ระหว่างวิ่ง เราไม่เจอนักวิ่งคนอื่นเลย
เหมือนวิ่งอยู่คนเดียวจริงๆ สบายใจและมีความสุขมาก ได้แต่ทักทายอาสาสมัครที่อยู่ตามทางเลี้ยวทางแยกต่างๆ
คุยกับต้นไม้ใบหญ้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึง checkpoint2 ที่
34 กิโล ใช้เวลาไป 5.20 ชั่วโมง
เข้าก่อน cut off ไป 40 นาที
หลังจากนี้เราจะไปเส้นทางวิ่งของ 50 กิโลแล้ว เลยเริ่มรู้สึกคุ้นเคย วิ่งไปวิ่งมาก็เจอนักวิ่ง 100 กิโลคนแรกเป็นฝรั่งวิ่งแซงไป ได้ทักทายกันเล็กน้อย จากนั้นก็เจอ
คนที่สองที่สามตามมา ได้แต่บอก Good luck ไปตลอดทาง
เราเลยได้สังเกต Eliteวิ่ง
เวลาเขาเจอเนินเขาจะวิ่งเข้าใส่เลยด้วยความเร็วสม่ำเสมอมาก แม้จะมีหยุดเดินบ้าง
ก็แค่สั้นๆ เก่งมากจริงๆ เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ checkpoint3 ที่อยู่กิโลที่ 45 มีเวลาอีก 2 ชั่วโมง 40 นาที
กับระยะทางอีกประมาณ 10 กิโล ทางช่วงนี้เป็นทางเทรล
ถนนดินแดง หินเต็มไปหมดอีกเช่นเคย มีสลับเจอถนนลาดยาง ออกถนนชุมชนเส้นใหญ่ด้วย
เราเดินสลับวิ่งไปเรื่อยๆ เวลาลงเนินก็วิ่งทำเวลา จนกระทั่งเข้าเขตชุมชน
เจอน้องๆนักเรียนมาจับมือให้กำลังใจด้วย แบบว่าน่ารักมากๆ
ชาวบ้านก็ช่วยกันออกมาเชียร์ เพิ่มพลังบวกให้นักวิ่งจริงๆ ในที่สุดเราก็มาถึง checkpoint3
ก่อน cut off ไป 42 นาที
นี่วิ่งความเร็วสม่ำเสมอมาก หนี cut off เป็นไม่ค่อยจะพ้นเลย
555 ตรงจุดนี้
เราทิ้ง drop bag ไว้ เป็นอาหารเที่ยง
ตอนนั้นรีบๆก็หยิบสเต็กปลาสำเร็จรูปพร้อมทานมาใส่เป้น้ำไว้ กะว่า จะทานระหว่างทาง ปรากฏเลยจุด
checkpoint ไป มีชาวบ้านมาตั้งรถเข็นขายไส้กรอกลูกชิ้นปิ้ง
เราเลยปิ๊งไอเดียว่า ซื้อไปทานระหว่างทางน่าจะสะดวกกว่า เลยซื้อไส้กรอกไป 1
ไม้ ถือทานไปด้วยระหว่างทาง ซึ่งก็สะดวกมากๆ
ทานไม่ทันจะหมดก็อิ่มเพราะยัดอะไรลงท้องไม่ค่อยลง
ได้แต่ถือไม้เสียบพร้อมไส้กรอกนิดหน่อยติดตัวไปด้วย
เพราะไม่กล้าทิ้งระหว่างทางให้เป็นขยะ
จนกระทั่งมาเจออาสาสมัครก่อกองไฟกันหนาวไล่ยุง
เลยขอเขาทิ้งไม้เสียบไส้กรอกให้เป็นเชื้อเพลิงกองไฟ พอมือว่างแล้วก็วิ่งยาวๆกันไป
ทางช่วงนี้ลัดเลาะไปตามชุมชน มีทั้งถนนคอนกรีต สลับกับทางลูกรังแข็งๆ
พอเป็นช่วงบ่ายๆแดดเริ่มออก แต่อากาศก็ยังถือว่าดีกว่าปีก่อนๆมาก
ต้องปีนเขาลูกเล็กๆกับเนินอีกมากมาย จนในที่สุดก็วนกลับมาทางเดิมผ่าน checkpoint3
เดินทางไปจนถึง checkpoint4 เข้าก่อน cut off ไปประมาณ 48
นาที
ตอนนั้นวิ่งไปได้ 56 กิโลแล้ว เหลืออีกแค่ 19 กิโล! แต่ทางจากนี้ไปจะวนกลับไปเจอทางช่วง 25 กิโลแรก
ซึ่งก็คือ ภูเขาหินและภูเขาหญ้าสุดที่รักนั่นเอง ตอนนั้นเวลาบ่ายแก่ๆ
อากาศเริ่มร้อนและมีแดด เราเริ่มขี้เกียจวิ่ง แถมยังเดินช้าลงเรื่อยๆ
เลยต้องหากลเม็ดวิธีการมาสะกดจิตให้วิ่ง เราใช้วิธี วิ่งสลับเดินถี่ๆ เช่น
จะวิ่งไปให้ถึงต้นไม้ต้นนั้นนะ ไปถึงก้อนหินก้อนนั้น จากนั้นก็เดินเร็วๆอีก 200
เมตร จากนั้นก็วิ่งต่อไปโดยหาเป้าหมายใหม่ไปเรื่อยๆ
รู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผลดีมาก เราสามารถวิ่งได้เยอะขึ้น ช่วยไล่ตัวขี้เกียจออกไป
ช่วงนี้เราแซงนักวิ่ง 75 กิโลผู้ชายได้หนึ่งคน
เหมือนจะบาดเจ็บ ไม่ยอมวิ่งเลย ก็ได้แต่ให้กำลังใจกันไป ทางก่อนถึง checkpoint5
คือ ต้องผ่านภูเขาหินและภูเขาหญ้า พอมาเป็นช่วงบ่าย อากาศอบอ้าวขึ้น
เรายิ่งช้าลงกว่าเดิมเยอะมาก รู้สึกว่าทำไมทางยากกว่าเดิม
ตอนเช้าชั้นผ่านมันไปได้ยังไง 555 ได้แต่คุยกับตัวเอง
ให้กำลังใจตัวเองไปตลอดทาง ผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้ ในที่สุดก็ถึง checkpoint
5 คือ checkpoint ที่อยู่ตีนเขาภูเขาหญ้า ก่อน
cut off ไป ด้วยเวลาหัวร้อนๆที่ 37 นาที
ตอนนั้นเหลือระยะทางอีก 11 กิโล กับเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ทางวิ่งต่อจากนี้จะเจอภูเขาชันๆอีก
1 ลูก จากนั้นก็ลงเนินยาวๆไป คิดว่ายังไงก็ทัน
แต่เราก็ยังไม่ลืมที่จะทำเวลาเท่าที่ทำได้
เพราะเสียเวลาไปกับภูเขาสองลูกค่อนข้างมาก ช่วงนั้นมีนักวิ่ง 100 กิโล สองคนเป็นต่างชาติวิ่งเข้ามา เขาชวนเราวิ่งต่อไป
บอกว่าใกล้แล้วๆวิ่งต่อไปๆ ก็ได้ Elite สองคนนี้แหละช่วยลากไปได้ไกลเลย
น่ารักมากๆ และสองคนนี้ก็ไม่หยุดจริงๆ ทิ้งเราไป 555 ช่วงนั้นเริ่มมืดแล้ว
ได้แต่วิ่งสลับเดินไปเรื่อยๆ คิดว่า ต้องจบก่อนมืดให้ได้ ขี้เกียจหยิบ headlamp
มาใส่ ตอนขึ้นภูเขาลูกสุดท้ายเหนื่อยมากๆเลย
มาเจอน้องเจ้าหน้าที่มาติดไฟสะท้อนแสงให้นักวิ่ง 100 น้องให้กำลังใจไปตลอด
น่ารักมากๆ จนมาเจอตากล้องรอถ่ายรูปช่วง 3 กิโลสุดท้ายอีก
ส่งพลังบวกให้รัวๆ ถ้าใครที่วิ่ง ultra จะรู้ดีว่า
ช่วงก่อนเข้าเส้นชัยจะเป็นระยะทางที่ยาวไกลที่สุด นี่ก็เป็นอย่างนั้นเลยค่ะ 3
กิโลสุดท้ายไกลมากๆ เราพยายามวิ่งไปเรื่อยๆสลับเดินเร็ว
จนในที่สุดก็ถึงทางคันนาในตำนาน ก่อนจะตัดเข้าถนนลาดยางกิโลสุดท้าย
ตอนนั้นเค้นพลังสุดชีวิต วิ่งยาวๆเพซ 5 กว่าๆไปเรื่อยๆ
เจ้าหน้าที่กับนักวิ่งที่อยู่สองข้างทางก็ปรบมือให้กำลังใจ พอเลี้ยวเข้าฟาร์มวรนาถเห็นเส้นชัยแล้วมีความสุขมาก คิดในใจรอดแล้วๆ รีบจัดท่าวิ่ง วิ่งเข้าไปสวยๆ
ยิ้มหน้าบาน พิธีกรประกาศชื่อด้วย บรรยากาศดีมากๆ วิ่งจบไปด้วยเวลา 13.02.49
ชั่วโมง เข้าก่อน cut off ไป 28 นาที!!
เจอตากล้องที่ 3 กิโลสุดท้าย น่ารักมากๆ
พอเข้าเส้นชัยปุ๊บ
เจ้าหน้าที่มาเอาเหรียญให้พร้อม surprise เป็นผ้าห่มหรือผ้าเช็ดตัวก็ไม่รู้ผืนใหญ่เบิ้ม
ที่มีคำว่า Finisher 75K ซึ่งผู้จัดไม่เคยบอกว่าจะมีให้
ตอนแรกเข้าใจว่าจะได้แค่เหรียญเพราะระยะ 75 กิโลไม่มีเสื้อ finisher เจ้าหน้าที่มาแสดงความยินดีใหญ่เลย ประทับใจมากๆ
จากนั้นจึงสังเกตเห็นพี่หนุ่ยมาเกาะรั้วยิ้มๆให้อยู่ เลยรีบเดินเข้าไปกอดเลย พี่หนุ่ยพูดคำแรกว่า
เก่งมากๆ เกือบไม่รอดแล้วนะ 55555 ก็เกือบไม่รอดจริงๆน่ะแหละ
มารู้ทีหลังพี่หนุ่ยเล่าว่า พิธีกรเช็คตลอดว่าเหลือนักวิ่งอีกกี่คนในป่า
เขาบอกว่าเหลืออีก 30 กว่าคน คิดว่าไม่น่าจะจบทันเกิน 10
คน พี่หนุ่ยเลยคิดๆอยู่ว่าเราจะรอดมั้ย 555 มาดูผลการแข่งขันทีหลัง
เราจบเป็นอันดับที่ 27 จากนักวิ่งทั้งหมด 64 คน วิ่งจบแค่ 31 คนเท่านั้น และเราเป็นผู้หญิงคนที่ 7
จากทั้งหมด 21 คน ที่วิ่งจบแค่ 9 คน! แปลว่าต่อจากเรา มีนักวิ่งเข้าเส้นชัยแค่ 4
คนเอง การันตีความโหดค่ะ!
พี่หนุ่ยมารอรับหน้าเส้นชัย
มาดูสภาพร่างกายหลังวิ่งจบ ระหว่างวิ่ง
เรากังวลเรื่องเข่าข้างขวาที่บาดเจ็บก่อนวิ่งอยู่ลึกๆ
แต่โชคดีมากที่ไม่มีอาการอะไรเลย เราไม่ได้ฉีดสเปรย์แม้แต่นิดเดียว
รายการนี้หินเยอะมากๆ นักวิ่งล้มกันระนาว เราสะดุดน่าจะ 20 ครั้งได้ แต่ไม่ล้มเลยสักครั้ง นี่ยังขำตัวเอง
คงเป็นเพราะใช้กรรมล้มไปแล้วก่อนแข่ง เลยไม่ล้มรายการนี้ ซึ่งก็โชคดีมาก
เพราะถ้าล้มต้องเจ็บมากแน่ๆมีแต่หินคมๆ ต้องให้เครดิตรองเท้า Salomon sense
pro max ที่เลือกใช้ในรายการนี้ ด้วย Grip ของ
Salomon จะล้มๆหลายที รองเท้าช่วยชีวิตไว้ได้ตลอด
อาการอื่นๆก็มีปวดเมื่อยตามปกติ เป็นมากที่ต้นขาอีกเช่นเคยเพราะใช้เยอะที่สุด
สภาพ sense pro max หลังแข่งจบ รีวิวจะมาเร็วๆนี้!
สิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มขึ้นไปอีกจากรายการนี้
เช่นเคย การวิ่ง downhill ทาง technical
terrain ที่ถ้าเรามีสกิลมากกว่านี้จะทำเวลาได้ดีกว่านี้มาก
ตรงส่วนนี้คือจุดอ่อนใหญ่มากๆที่ต้องอาศัยประสบการณ์การวิ่งจริง
ส่วนเรื่องการเดินเร็ว ทำได้ดีแล้ว เดินเร็วกว่าปีก่อนเยอะเลย
สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากการวิ่งรายการนี้ก็คือ
นอกจากสภาพร่างกายที่พร้อมแล้ว จิตใจก็สำคัญมากๆ
ต้องเข้มแข็งและสร้างพลังบวกให้ตัวเองเสมอ ต้องตื่นตัวและมีสติตลอดเวลา
เมื่อไหร่ที่จิตใจท้อแท้ว้าวุ่นงอแง จะทำให้ร่างกายเป็นตามไปด้วย จะขี้เกียจวิ่ง
ไม่อยากวิ่ง อยากเดินอย่างเดียว เผลอๆรู้ตัวอีกที ต้องวิ่งหนี cut off อีกแล้ว การวิ่ง Ultramarathon มันคือ Mental
Game จริงๆค่ะ!
ผลการแข่งขัน วิ่งจบกันน้อยมากๆ
stats จาก Suunto เห็นภูเขาสุดโหดสี่ลูกนั้นมั้ยคะ