วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561

*CM5 92K* Nothing Worth Having Comes Easy! ยาวมากกกกกก รายละเอียดเยอะมากค่ะ เผื่อมีคนสนใจลงระยะนี้หลงมาอ่าน




เมื่อพูดถึงรายการวิ่งเทรลในเมืองไทยที่เหล่านักวิ่งสายป่าทั้งหลายไม่ควรพลาด เราขอยกให้ CM6 รายการ Ultra Trail ที่จัดขึ้น ณ เมืองเชียงใหม่ คือ หนึ่งในรายการที่นักวิ่งทุกคนต้องห้ามพลาด  เมื่อปีที่แล้วที่จัดขึ้นเป็นปีแรก เราได้ลงวิ่งระยะ 76 กิโลไป เป็นการวิ่งที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย  ปีนี้ตอนแรกตั้งใจจะลงระยะเดิมเพราะถ้าจะเพิ่มระยะคือต้องวิ่ง 130 กิโล แต่ผู้จัดได้เพิ่มระยะใหม่ขึ้นมาล่อตาล่อใจนักวิ่งกึ่งๆกลางๆแบบเรามาก นั่นก็คือ ระยะ 92 กิโล! คิดสะระตะแล้ว ประเมินตัวเองว่า น่าจะพอวิ่งไหว 76 กิโลก็วิ่งไปแล้ว เลยตัดสินใจลงระยะ 92 กิโลไป เส้นทางวิ่งคือ วิ่งบนดอยปุย ดอยสุเทพ วนอยู่ในป่าที่เชียงใหม่ ซึ่งก็คือ route เดิมกับระยะ 76 กิโลปีที่แล้ว เพิ่มมาก็คือ ต้องขึ้นดอยปุย 2 ครั้ง และวิ่ง route The last man … route ในตำนานที่ใครๆก็บอกว่า โหดที่สุด!

 Map

 Altitude & Cut Off Time

เมื่อมีเป้าหมาย ต่อมาก็คือการซ้อม เนื่องมาจากปลายปีตั้งใจจะลงวิ่ง 100 กิโล รายการ Pong Yang Trail อยู่แล้ว เลยต้องซ้อมวิ่ง 100 กิโลด้วยตนเอง เราวิ่ง City Run คนเดียววนไปวนมาทั่วเมืองปากช่อง ซ้อมจบ 100 กิโลแรกผ่านไปด้วยดี นอกจากนี้ก็วิ่ง Hill Repeats , Drills และ Circuit Training เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังหาโอกาสไปวิ่งซ้อมเส้นทางจริงที่เชียงใหม่ด้วย สภาพร่างกายก่อนวิ่งค่อนข้างพร้อม มีจุดที่กังวลอยู่จุดเดียวคือ ฝ่าเท้าซ้ายด้านนอกที่วันดีคืนดีก็มีอาการเจ็บนิดๆให้รำคาญเท่านั้น



Pre-Race Gear


ในที่สุดวันวิ่งจริงก็มาถึง ก่อนนอนเราไม่ลืมที่จะปฏิบัติธรรมขอเจ้าป่าเจ้าเขาบนดอยปุยดอยสุเทพว่าจะมาวิ่ง ไม่ได้มาทำความเดือดร้อน ขอให้วิ่งจบลงด้วยดี วางแผนตื่นก่อนเวลาวิ่งชั่วโมงครึ่งเพื่อเตรียมตัว จากนั้นพี่หนุ่ยก็ขับรถไปส่งที่จุดปล่อยตัวคือ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ  เราเอา dropbag ไปฝากเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะนำไปไว้ยังจุด checkpoint หลัก คือ Headquarter ที่โรงเรียนศรีเนรูห์ เสร็จเรียบร้อยก็เตรียมพร้อมปล่อยตัวตอน 7 โมงตรง ระยะ 92 กิโล มี cut off อยู่ที่ 27 ชั่วโมงถ้วน นั่นก็คือ เราต้องวิ่งจบภายในเวลา 10 โมงเช้าของอีกวัน ฟังดูเหมือนเยอะ แต่ด้วยความชันสะสมที่ 5000 เมตร++ และโอกาสที่จะเจอฝนตก มั่นใจได้เลยว่า ต้องเป็นการวิ่งที่เต็มไปด้วยรสชาติของชีวิตอีกรายการหนึ่งอย่างแน่นอน!

พอปล่อยตัว เราก็วิ่งสบายๆไปเรื่อยๆ เส้นทางคือต้องไต่เขาระยะทางทั้งหมด 10 กิโล เพื่อไปให้ถึงขุนช่างเคี่ยนที่เป็น checkpoint หลัก คือ Headquarter ที่โรงเรียนศรีเนรูห์ มีเวลาให้ทั้งหมด 3 ชั่วโมง 15 นาที ซึ่งเป็นการเริ่มปล่อยตัวที่ทำร้ายน่องและเอ็นร้อยหวายมาก เส้นทางช่วงครึ่งแรกจะเป็น single track มีทั้งหินลอย รากไม้ และดินชื้นๆ จึงเป็นการกดดันให้ต้องเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ เราก้มหน้าก้มตาไต่เขา พยายามไม่เร่งเกิน แต่ก็ไม่ให้ช้าเกิน มีพักหายใจเป็นระยะๆ เพราะอากาศอบอ้าวมาก พอผ่านช่วงป่าทึบมาได้จะเป็นทางลูกรังดินแดง ช่วงนั้นเป็นทางโล่งๆอากาศถ่ายเทให้พอหายอกหายใจได้บ้าง ในที่สุดก็มาถึง Headquarter ที่โรงเรียนศรีเนรูห์ โดยใช้เวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ใช้เวลาพอๆกับปีที่แล้ว ที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือ ยังคงรู้สึกกินแรงไปมากมายและกดดันเหมือนเดิม  

Before going to Doi Pui Peak 

ที่ Headquarter เราเติมน้ำเสร็จก็รีบไปต่อ จุดหมายต่อไปคือ จุดให้น้ำจุดแรกซึ่งจะต้องผ่านดอยปุย เป็นการขึ้นดอยปุยครั้งแรกของวันนี้ เส้นทางไม่มีอะไรมาก คือการไต่เขาชันๆที่ต้องแหงนมองคอตั้ง สองข้างทางมีหมอกลอยไปมา ซึ่งทำได้แค่ชะโงกหน้าไปดูเท่านั้น   เราค่อยๆกระดึ้บๆไต่ขึ้นเขา ปัก pole ส่งตัวเองไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาถึงยอดดอยปุยจนได้ รู้สึกโล่งใจมาก เพราะจากนี้คือ การ downhill รัวๆ บนถนนลาดยางที่เต็มไปด้วยตะไคร่และใบไม้ ซึ่งเป็นอีกช่วงที่พอทำเวลาได้ เราวิ่งรัวๆแซงนักวิ่งไปหลายคนด้วยเพซ 5เพซ6  ในที่สุดก็ไปถึงจุดให้น้ำจุดแรกซึ่งตั้งอยู่ตรงจุดที่จะลงไป A3 The last man ด้วย ตรงจุดนี้มีคุณลุงม้งมาเป็นอาสาเติมน้ำให้เหมือนเคย  น่ารักมากๆจนต้องยกมือไหว้ขอบคุณ พอเติมน้ำเสร็จก็พาตัวเองออกเดินทางต่อ 

@ Doi Pui Peak


เป้าหมายต่อไปคือ A1 ผานกกกที่จะเป็นจุด Checkpoint หลักอีกจุดหนึ่ง  เราวิ่งผ่านหมู่บ้านม้ง  ทะลุผ่านเข้าไปในสวนลิ้นจี่ ลำไย ทางช่วงนี้จะเป็นถนนคอนกรีตแข็งๆที่ทำเป็นเส้นสองเส้นให้ล้อรถผ่านได้ เว้นตรงกลางไว้ เราทำเวลาช่วงนี้ได้ดีเช่นเคย วิ่งมากกว่าเดิน ทางจะผ่านบ้านชาวบ้านที่อยู่ในสวน  อากาศโล่งๆสบายๆไม่มีแดด เราวิ่งบ้างเดินบ้างเก็บนักวิ่งระยะ 76 กิโลไปได้หลายคน  พอใกล้จะถึงผานกกกคือ ต้องไต่เนินยาวๆประมาณ 3 กิโล จำได้ว่าปีที่แล้วอ่อนระโหยโรยแรงมาก เพราะเป็นช่วงเที่ยงๆพอดี ปีนี้มาถึงประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ความรู้สึกแทบไม่ต่างกัน ระหว่างเดินขึ้นเนินก็เจอนักวิ่งสวนลงมา เจอคนรู้จักมากมาย ก็ทักทายให้กำลังใจกันไป  ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใกล้แล้วๆ ซึ่งบอกระยะไม่ตรงกันเลย 555 ในที่สุดเราก็พาตัวเองมาถึงผานกกกจนได้ หลังเติมน้ำเสร็จ กำลังหาข้าวทานก็เจอข่าวร้ายว่า ข้าวหมด!! โชคดีที่ปีนี้เราวางแผนเรื่องอาหารการกินมาดี เพราะกลัวข้าวหมดนี่แหละ เลยพกไข่ต้มใส่เป้มาด้วย (มีอยู่ใน dropbag อีก เผื่อที่ Headquarter ข้าวหมด) พอได้ยินว่าข้าวหมดนี่ ยิ้มเลย ไม่เสียแรงที่แบกไข่ต้มมาด้วย เลยควักไข่ต้มนั่งทานชิลล์ๆ  ทานเสร็จก็ไปเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวออกเดินทางต่อ กำลังจะลงเขาก็เจอพี่ตุลย์ พี่ชายแห่งทีม Trailways ที่ลงระยะ 76 กิโล เลยถ่ายรูปกันก่อนลงเขาไปด้วยกัน พี่ตุลย์บอกว่าเจ็บเข่าเวลา downhill เราเลยขออนุญาตวิ่งลงไปก่อน

 @Pha Nok Kok Check Point A1


เป้าหมายต่อไปก็คือจุดให้น้ำที่ 2 ที่อยู่ห่างออกไปเกือบ 10 กิโล โดยมีระยะเวลา cut off ที่ 17.40 น. นั่นคือเราจะต้องไปถึงที่นั่นภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมงครึ่ง ทางช่วงนี้เป็นช่วงที่เราชอบที่สุด ทางจะเป็นทางเข้าไร่ชาวบ้านม้ง ผ่านสวนต้นพลับและไร่กุหลาบ เป็นดินแดง สลับกับคอนกรีตเป็นเส้นๆ มีผ่านเข้าป่ารกๆสลับกันไป มีบางช่วงเป็นป่า single track ให้ลองวิ่ง downhill technical terrain เบาๆ ซึ่งวิ่งสนุกมากๆ เพิ่งมาคิดได้ว่า ทำไมชอบทางวิ่งช่วงนี้ที่สุด นอกจากอากาศโล่งสบาย วิ่งแล้วสบายใจ ทางวิ่งช่วงนี้จะเป็นเนิน สลับขึ้นลงไปมา ซึ่งมาค้นพบทีหลังว่าเป็นอะไรที่เราถนัดที่สุด เวลา uphill ก็เดินเร็วสูตร David เวลา downhill ก็วิ่งลงรัวๆ เราทำเวลาได้ดี เก็บนักวิ่ง 76 กิโลไปได้หลายคนเลย ในที่สุดก็มาถึงจุดให้น้ำที่ 2 เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ตอนนั้นได้ระยะมาราธอนแล้ว เข้าก่อน cut off ไปเกือบ 3 ชั่วโมง ทำเวลาได้ดีกว่าปีที่แล้ว

ตรงจุดให้น้ำที่ 2 มีนักวิ่งนั่งรอรถรับกลับเยอะเลยทีเดียว เราเติมน้ำเสร็จก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปคือกลับ Headquarter ที่ขุนช่างเคี่ยน เป็นระยะทาง 10 กิโล โดยจะต้องไปถึงที่นั่นก่อน 2 ทุ่ม มีเวลาทั้งหมด 4 ชั่วโมงสบายๆ ทางช่วงนี้เป็นถนนดินแดงชื้นๆ มีบางช่วงเละๆเพราะฝนตก ช่วงแรกจะเป็น downhill เราพยายามวิ่งให้ได้มากที่สุด ช่วงหลังที่เป็น uphill ก็เดินเร็วสูตร David สลับกันไป เหนื่อยก็พักเอายาดมป้ายจมูก สูบลมหายใจรัวๆ ในที่สุดก็พาตัวเองมาถึง Headquarter รอบที่ 2 เวลาประมาณ 6 โมงเย็น เข้าก่อน cut off ไปประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อปีที่แล้วจำได้ว่าใช้เวลากับตรงนี้น้อยเกินไปเพราะรีบมากๆ ไม่ยอมทานข้าว ซึ่งจากนี้ไปจะเป็นช่วงที่ต้องใช้พลังงานเยอะมาก มาปีนี้เลยยอมเสียเวลาทานอาหารหนัก เราไปตักข้าวผัดมานั่งทาน ทานไปเปลี่ยนอุปกรณ์จาก dropbagไป จากนั้นก็เข้าห้องน้ำ เตรียมตัวเตรียมใจออกเดินทางอีกครั้ง  ซึ่งหนังชีวิตจริงๆจะเริ่มเมื่อพระอาทิตย์ตกดินนี่แหละค่ะ

 After 50K


เป้าหมายต่อไปก็คือ จุดให้น้ำที่ 1 นั่นหมายถึงเราจะต้องขึ้นดอยปุยเป็นครั้งที่ 2 ของวันนี้ แต่เป็นเวลากลางคืน! ทางที่ชันอยู่แล้ว ยิ่งกลายเป็นชันมากๆขึ้นไปอีกเมื่อเป็นตอนกลางคืน เราไต่เขาไปเรื่อยๆ พยายามโฟกัสลมหายใจเข้าออก ตอนนั้นได้เพื่อนร่วมทางเป็นพี่ผู้หญิงชื่อว่า พี่ภัคและนักวิ่งอีก 2-3 คนตามกันมา ก็ได้พี่ภัคนี่แหละที่ช่วยลากขึ้นดอยปุย พอไปถึงยอดดอยปุย ก็ต้องตกใจกับสภาพที่หมอกลงหนามาก หนาจนแทบมองไม่เห็นทาง  เลยตกลงกับพี่ภัคว่า เราจะเดินเร็วๆเกาะๆกันไปดีกว่า ต้องใช้ความระวัดระวังมากเพราะขนาดเดินๆไปยังจะกลัวหลุดโค้งตกถนนเลย ช่วงนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงคนวิ่งตามมาข้างหลัง คือได้ยินชัดมากจนต้องหันหลังไปมอง มองจนพี่ภัคถามว่าน้องมองอะไร ?! แต่ก็ไม่มีใครตามมาเลยซักคน!! ฝ่าดงหมอกกันไปจนในที่สุดก็มาถึงจุดให้น้ำที่ 1 ตอนเวลา 2 ทุ่ม

ทางต่อจากนี้คือ A3 The Last Man ช่วงที่เรียกว่าเป็น highlight ซึ่งที่จริงแล้วมันคือช่วงเวลาที่จะเป็นหนังชีวิตของนักวิ่ง 92 กิโล ทางจะเป็นทางดิ่งลงไปยาวๆ 7 กิโล มีวัดสวนพริกเป็นจุด checkpoint A3 อยู่สุดทาง มี cut off อยู่ที่ ตี 1 10 นาที เรามีเวลาอยู่ทั้งหมดประมาณ 5 ชั่วโมง เพื่อไปถึงที่นั่น เรารีบเติมน้ำ ทำใจสักพักก็ขอตัวลงไปก่อนพี่ภัค เพราะรู้ว่าต้องใช้เวลานาน ระหว่างทางลงมามีพี่นักวิ่งผู้ชายระยะ 130 ลงมาอีก 2 คน จำชื่อได้คนเดียวคือ พี่โลมาลงมาเป็นเพื่อน ทาง Last Man นี้เมื่อต้นปีเราเคยมาลองวิ่งครั้งหนึ่ง จำได้ว่าชันมากๆ ตอนนั้นเลยค่อยๆกระดึ้บๆลง ระหว่างทางเจอ Mattias นักวิ่งรุ่นพี่ขาแรงประจำทีม Trailways สวนขึ้นมา เลยตะโกนทักทายกัน จำได้ว่า Mattias บอกว่า Very steep! ก็ให้กำลังใจกันไป ในใจก็คิด ขนาด Mattias นี่คือนักไต่เขาประจำกลุ่มยังโอดครวญขนาดนี้ ขากลับที่ต้องขึ้นเขา เราต้องคลานขึ้นแน่ๆ! ไปมาๆพี่ภัคก็ตามมาทัน มีบางช่วงที่พอวิ่งได้ เราเลยขอพี่โลมาลงไปก่อน พอใกล้จะถึงก็เจอพี่เอ้ ที่เคยวิ่ง 76 กิโล 10 กิโลสุดท้ายหนี cut off  ด้วยกันเมื่อปีที่แล้วเป็นครั้งที่ 3 ของวันนี้ พี่เอ้ทักทายให้กำลังใจบอกอีกไม่ถึงกิโลแล้ว สู้ๆ อีกไม่นาน ในที่สุดก็มาถึงวัดสวนพริก A3 เวลาประมาณ 4 ทุ่ม เข้าก่อน cut off ไปประมาณ 3 ชั่วโมง

ที่วัดสวนพริก เรานั่งทานข้าวต้มร้อนๆ กับแก้วมังกรของโปรด เติมน้ำเสร็จอะไรเสร็จก็ออกจากที่นั่นโดยใช้เวลาไม่นาน ขากลับก็คือ เส้นทางเดิม เพิ่มเติมที่ uphill อย่างเดียว 7 กิโล เพื่อที่จะไปถึงจุดให้น้ำที่ 1 และต้องไปต่ออีก 7 กิโลเพื่อที่จะไปยัง Headquarter โดยมี cut off ที่นั่นคือ เวลา 7 โมงเช้า ขาขึ้นนี้เป็นอะไรที่ทรมานมากๆ จำได้ว่า เอาขา 2 ข้างและ trekking pole เป็นเพื่อนร่วมทาง  เราพยายามควบคุมลมหายใจ ก็ทำได้บ้างไม่ได้ ช่วงที่ชันมากๆนี่คือ ต้องพักระหว่างทางบ่อยมากๆ แทบจะอยากพักทุก 10 ก้าว ส่องไปขึ้นไปข้างบนคือ เห็นไฟสะท้อนแสงอยู่สูงขึ้นไปลิบๆเลย ลองคิดภาพนักวิ่งแต่ละคนแทบจะหมอบกับพื้นหายใจพะงาบๆอยู่ตามเนินเป็นแถวๆ นั่นแหละค่ะ สภาพนั้นเลย  ตอนนั้นเราปลอบใจตัวเองเป็นพักๆ คุยกับตัวเอง พยายามคิดบวกสุดฤทธิ์ ไม่รู้ว่าเอายาดมขึ้นมาดมกี่ครั้ง ยิ่งช่วง 2-3 กิโลสุดท้ายนี่คือ หนังชีวิตมากๆ แทบจะเลื้อยขึ้นเนินอยู่แล้ว รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังถึงขนาดคิดถึงบุญที่ทำมาเลยค่ะ! นี่มันหลักสูตรวัดใจชัดๆ สุดท้ายก้มหน้าก้มตาไต่มาเรื่อยๆก็มาเจอกระสอบปุ๋ยที่อยู่บนดินระหว่างทาง ตรงจุดนี้เราจำได้แม่นเลยตั้งแต่มาซ้อมวิ่งที่นี่เมื่อต้นปีว่า คือช่วงใกล้จะถึงแล้ว  ตอนนั้นรีบเงยหน้าขึ้นมามอง ในที่สุดก็เห็นกองไฟที่ก่อเอาไว้ของจุดให้น้ำที่ 1 โอ้โห แทบจะกรีดร้อง คือดีใจมาก รีบไต่เนินขึ้นมารัวๆ ที่นั่นมีนักวิ่งหลายคนนอนหลับอยู่ และอีกหลายคนที่ตัดสินใจไม่ไปต่อกำลังรอรถมารับ พอเติมน้ำเสร็จ พักหายใจอีกนิดหน่อยเราก็ออกเดินทางต่อ 

จุดหมายต่อไปคือกลับ Headquarter ที่ขุนช่างเคี่ยน โดยรอบนี้ไม่ต้องขึ้นดอยปุยแล้ว แต่ลัดเลาะไปตามทางอ้อมดอยปุย ทางช่วงนี้เป็นถนนลาดยางชื้นๆ หมอกไม่ลงจัดเท่าตอนหัวค่ำ แต่อากาศค่อนข้างเย็น มีนักวิ่งหลายคนใส่เสื้อjacket แต่เราไม่ใส่เพราะรู้สึกว่ายังไม่หนาวพอ ช่วงนี้มีพี่ภัคเป็นเพื่อนร่วมทางอีกเช่นเคย ตอนนั้นเป็นช่วงตีหนึ่งแล้ว เราเป็นคนอดนอนเก่งก็ยังรู้สึกเบลอๆเล็กน้อย  มีนักวิ่งบางคนแวะนอนริมทางด้วย เรากับพี่ภัคคุยกันมาเรื่อยๆเพื่อจะไม่ให้ง่วงตกถนนไป ทางช่วงนี้แค่ 7 กิโล แต่รู้สึกว่าไกลมากๆ บ่นกันไปมากับพี่ภัคก็ไม่ถึงซักที  จนมาเริ่มเข้าหมู่บ้านขุนช่างเคี่ยนแล้วถึงโล่งใจกัน ในที่สุดก็มาถึง Headquarter ได้ซะที ตอนแรกเราตั้งใจจะพักนิดนึงแล้วก็ไปต่อ แต่คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจหาอะไรทานให้ตาสว่างเสียหน่อย เลยทานไข่พะโล้กับไข่เจียวไป พักต่อนิดหน่อยก็เดินทางต่อ

และแล้วก็มาถึง  10 กิโลสุดท้าย... ทางช่วงนี้คือขาขึ้นมาทางเดียวกับ 10 กิโลแรก เพียงแต่ว่าเราต้องวิ่งลงไปตอนกลางคืน ตอนนั้นวิ่งลงไปคนเดียวเลย ตั้งใจว่าจะเดินเร็วไปเรื่อยๆเพราะทางลื่นและมีความขี้เกียจนิดๆเพราะเห็นว่าใกล้จะจบแล้ว จนพี่ภัควิ่งแซงมา พี่ภัคทักว่า เดี๋ยวอาจต้องสวนกับนักวิ่ง 44 กิโลที่ปล่อยตัวเช้าวันนี้ ตอนนั้นเลยตัดสินใจเริ่มทำความเร็ว วิ่งๆลงมา อยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงคนวิ่งตามอีกแล้ว เป็นครั้งที่ 2 ในเรซที่ได้ยินแบบนี้ พอหันไปมอง มองหลายทีก็ไม่เห็นใครอีกเช่นเคย ด้วยความเป็นคนจิตแข็งจึงไม่รู้สึกกลัว เข้าใจว่าเป็นเรื่องธรรมชาติก็มาโฟกัสที่การวิ่งต่อ เสียงก็เงียบไป พอมาเข้าช่วง single track ก็สวนกับนักวิ่ง 44 กิโลคนแรก และกลุ่มต่อๆมา เจอพี่เอ็ดดี้ พี่ชายขาแรงแห่งกลุ่ม trailways อยู่ในกลุ่มผู้นำด้วย ได้ทักทายกันเล็กน้อยก็ต้องไปต่อ ระหว่างทางยังเจอคนรู้จักมากมาย  ด้วยความที่ต้องสวนกับนักวิ่ง 44 กิโลในทาง single track ตอนแรกที่ว่าจะไม่เร่งกลับทำไม่ได้เสียแล้ว เพราะเวลาเขาเห็นเราลงเขามา เขาจะหยุดรอเราเป็นแถวเลย จึงเป็นการกดดันให้เราต้องวิ่ง เราจึงได้ค้นพบว่า สิ่งที่เป็นจุดอ่อนที่กลัวมาตลอดก็คือ การวิ่ง downhill technical trail มารอบนี้เราวิ่งใส่ไม่ยั้งเลย และทำได้ดีกว่าที่คิดไว้มาก แทบไม่ลื่นเลย  วิ่งลงเขามาทำเวลาได้อย่างมั่นใจ  ในที่สุดก็เจอรั้ววัด แอบกรี๊ดเบาๆ เพราะนั่นแปลว่าใกล้จะถึงแล้ว

พอเข้าเขตวัดก็เป็นถนนลาดยาง วิ่งลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนมาถึงถนนใหญ่ เรากึ่งเดินสลับวิ่ง ไปๆมาๆก็เดินอย่างเดียวเพราะว่าจะเก็บแรงเอาไว้วิ่งตอนเข้าเส้นชัย  ในหัวคิดภาพเตียงที่โรงแรมไว้แล้ว และอยากทานน้ำเงี้ยวมาก ต้องให้พี่หนุ่ยพาไปทาน พอหักเลี้ยวจะเข้าศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า อยู่ดีๆก็มีเสียงเรียกข้างหลังว่า พิงค์ วิ่งหน่อยๆ หันไปมองปรากฏว่าเป็นพี่เอ้ ที่ควรจะเข้าเส้นชัยไปตั้งแต่ 2 ชั่วโมงที่แล้ว ปรากฏว่าพี่เขางีบหลับที่ headquarter และวิ่งลงมาทันเราที่หน้าเส้นชัย  ตอนแรกจะให้พี่เอ้เข้าไปก่อน แต่พี่เอ้ให้เราเข้าก่อน เลยจัดฟอร์มวิ่งให้สวยที่สุด วิ่งหน้าบานเข้าเส้นชัยไป ด้วยเวลา 24 ชั่วโมง 5 วินาที เป็นผู้หญิงคนที่ 16 จากทั้งหมดที่วิ่งจบ 23 คน จากผู้หญิงทั้งหมด 31 คน และเป็นคนที่ 63 จากนักวิ่งที่วิ่งจบ 91 คนจากนักวิ่งทั้งหมด 143 คน เข้าก่อน cut off ไปทั้งหมด 3 ชั่วโมง







Finish Line Moment :)


My lifetime sponcer ! ;)


มาดูสภาพร่างกายหลังวิ่งจบกัน เป็นอีกครั้งที่เราประสบความสำเร็จในการวิ่งคือ จบแบบไม่เจ็บ คราวนี้ไม่บาดเจ็บใดๆเลย  ฝ่าเท้าซ้ายที่กังวลก็ไม่งอแงใดๆ มีปวดเมื่อยตามปกติ มากหน่อยก็คือต้นขาและไหล่สองข้างเท่านั้น  ตลอดทางไม่ได้ฉีดสเปรย์เลยแม้แต่นิดเดียว ตะคริวก็ไม่มี แสดงว่าที่ซ้อมมาทั้งหมดไม่เสียแรงเปล่าเลยจริงๆ ต้องขอบคุณเนินทุกเนินที่ปากช่องค่ะ มานั่งประมวลผลประกอบการทั้งหมด รู้สึกพอใจกับผลการวิ่งครั้งนี้ เพราะทำดีที่สุดแล้ว  เป็นครั้งที่เรามีสมาธิค่อนข้างดี แทบไม่เหม่อเลย ปกติติดนิสัยชอบดูนาฬิกาแล้ววิ่งสะดุดประจำ แต่งานนี้แทบไม่สะดุดเลย  สิ่งที่กลัวที่สุดคือ ความกล้าที่จะวิ่ง downhill technical terrain มาครั้งนี้ก็ได้ออกมาจาก comfort zone (เรียกว่าถูกบังคับมากกว่า 555) จนได้ เราก็วิ่งได้นี่นา แถมยังสนุกกับมันด้วย  การเดินเร็วก็ทำได้ดีแล้ว มีคนชมหลายคนเลยระหว่างทางว่า เดินเร็วมาก เดินเหมือนไม่เหนื่อยเลย  อันนี้มีเคล็ดลับเล็กน้อย คือ เดินสูตร David และให้ยิ้มทักทายชาวบ้านไปด้วย

My poor little feet were blister & black toenail - free, fortunately! ;)


แต่... ก็มาเจอจุดอ่อนอันเบ้อเร่อเลยที่ทำให้เราเสียเวลาไปมากที่สุด นั่นคือ การ uphill เนินที่ชันและยาวมากๆ ปัญหาที่เจอคือ เรามักจะเหนื่อยจนต้องพักระหว่างทางบ่อยๆ มานั่งวิเคราะห์ก็เจอสาเหตุว่า เรามีนิสัยอย่างหนึ่งที่เป็นมานานแล้ว นั่นก็คือเป็นคนชอบวิ่งไปเรื่อยๆแล้วเร่งความเร็ว พอมาเดินก็ติดนิสัยเหมือนกัน คือ เร่งความเร็วโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นเรซสั้นๆอาจไม่เท่าไหร่ แต่อย่าง CM6 ที่ต้องเจอเนินชันๆยาวๆทุกช่วงนี่แทบจะหมดแรงได้เหมือนกัน วิธีแก้มีวิธีเดียวอีกเช่นเคย  Practice makes Perfect ! ต้องซ้อมวิ่งและเดินขึ้นเนิน รวมถึงวิ่งปกติให้เพซไม่แกว่ง หาเพซที่ลงตัวที่สุด ถึงเวลาต้องติด cruise control ให้ตัวเองแล้ว :)

พูดถึงแผนในอนาคตกับ CM6 … มีคนถามว่าปีหน้าจะลงระยะไหนอีก จะไปให้สุดที่ 130 กิโลหรือเปล่า จนถึงตอนนี้มานั่งคิดนอนคิดแล้วมีเหตุผล 3 ข้อค่ะ

1.  ถ้าต้องวิ่งไปเรื่อยๆยังไม่เท่าไหร่ แต่การอดนอนนานๆนี่ทรมานร่างกายน่าดู อย่างรอบนี้เราใช้เวลาไป 24 ชั่วโมง ยังต้องกลับมาพักฟื้นร่างกายจนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ระยะหนึ่งเลย  ถ้าวิ่ง 130 คือ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 30 ชั่วโมง++  มันคงต้องมีแผนการ Recovery ร่ายกายที่จริงจังกว่านี้
     2.  การวิ่ง Ultra Trail คือ ความสุขปนทุกข์ และจะสุขมากเมื่อวิ่งจบ สำหรับ CM6 พอวิ่งจบเราภูมิใจมาก แต่...ระหว่างวิ่ง  ต้องยอมรับว่าเป็นเรซที่ความทุกข์มีมากกว่าความสุขจริงๆค่ะ คนที่วิ่งด้วยกันจะเข้าใจดี
     3. พี่หนุ่ย... พี่หนุ่ยไม่อยากให้วิ่งเกิน 100 กิโลค่ะ อันนี้ที่จริงถ้าจะวิ่งจริงๆพี่หนุ่ยก็ห้ามไม่ได้หรอก 5555

รวมเหตุผลทั้ง 3 ข้อแล้ว ปีหน้าเรามีแนวโน้มที่จะวิ่งระยะเดิมสูงมากๆค่ะ เปลี่ยนเป็น challenge ตัวเองให้ทำเวลาดีกว่าเดิม และเพิ่มเติมความสุขระหว่างวิ่งให้มากๆดีกว่า  Keep Calm and Enjoy The Race!   ;)








Stats from Suunto Ambit3 Peak Saphire & Ambit3 Vertical
   

Gear Review: Altra Solstice >> Excellent choice for a racing flat lover!

นักวิ่งคนไหนเป็น Racing flat lover ชอบรองเท้าวิ่งพื้นบางๆ น้ำหนักเบาๆ วิ่งแล้วตัวเบาหวิวเชิญมาทางนี้ค่า วันนี้เราจะมาพูดถึง Altra Solst...