วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

Gear Review: La Sportiva Bushido >> designed for unbeatable performance on technical terrain มันคือวิถีของนักรบ!



นี่คือรองเท้าคู่ที่สองจาก La Sportiva ค่ายรองเท้าเทรลฝั่งอิตาลี ที่เราได้มาเป็นเจ้าของ จากที่เคยประทับใจมากๆกับ Akasha ก็หารีวิวอ่านเรื่อยเปื่อย จนเกิดอยากลองอีกคู่ หาไปหามาก็เลือกคู่นี้ Bushido รองเท้าเทรลที่มีชื่อที่สุดแสนจะเท่ที่แปลว่า วิถีนักรบ!


La Sportiva บอกว่า Bushido คือ รองเท้าที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับทาง technical terrain โดยเฉพาะ นิยามสั้นๆก็คือ neutral, stable, lightweight, sticky and aggressive หนัก 10.50 oz (298g) 25mm in the heel / 19mm in the forefoot  DROP 6mm. มาดูกันค่ะว่ามีเทคโนโลยีอะไรบ้าง

1. Upper

Upper ของ Bushido เหมือน La Sportiva คู่อื่นๆนั่นก็คือ เป็น AirMesh ที่ระบายอากาศได้ดี แข็งแรงทนทานด้วยการเพิ่มเทคโนโลยีที่เรียกว่า High frequency welded ripstop คือเป็น Ripstop fabrics ที่ขาดและเป็นรอยยากเข้าไป ผ้าด้านในยังผ้า Mesh ที่ใส่เทคโนโลยี no-sweat lateral mesh inserts ช่วยซับเหงื่อและระบายอากาศได้ดี



ตรงส่วนปลายเท้าถูกออกแบบมาให้เป็น Rubber toe cap มีลักษณะเป็นยาง ช่วยป้องกันปลายเท้าเวลาเผลอไปเตะอะไรเข้าระหว่างวิ่ง ส่วนของลิ้นรองเท้าเป็น Stretch AirMesh ที่นุ่มและยืดหยุ่นได้ดี ลิ้นรองเท้าถูกออกแบบมาให้เชื่อมติดกับผ้าด้านในอีกชั้นของ upper ที่ให้ความรู้ว่าเหมือน sock-like fit คือกระชับเหมือนสวมถุงเท้า อีกทั้งยังใช้วัสดุที่ป้องกันไม่ให้เศษดินทรายเกาะได้ง่าย เชือกรองเท้าออกแบบมาให้ร้อยผ่านรูผ้าอีกที ซึ่งช่วยให้เชือกไม่ขยับเลยเวลาวิ่ง ออกแบบมาดีมากค่ะ



ส่วนล่าง upper ออกแบบมาให้หุ้มด้วย thermoplastic polyurethane (TPU) ที่เรียกว่า STB Control เป็นอะไรที่แข็งแรงมาก หุ้มตรงส่วน upper ที่เชื่อมต่อกับ midsole STB Control นี้ช่วยในเรื่อง stability ทำให้กลางเท้ากระชับไม่บิดไปบิดมาเวลาวิ่ง



2. Midsole

La Sportiva ใช้ Compression molded MEMlex  ตรงส่วนของ midsole ที่ช่วยเรื่องการตอบสนองขณะวิ่งที่ดีและให้ความรู้สึกที่หนึบและแน่น ตรงส่วนของด้านหน้าเท้าจะมี rock guard หนา  1.5mm ที่เรียกว่า  dual density compressed EVA rock guard อยู่ ที่ช่วยป้องกันรักษาเท้าจากการใช้งาน จะวิ่งใส่ก้อนหินก็ไม่ต้องกลัวเจ็บเท้ากันไปเลย


3. Outsole


ส่วนของ Outsole ออกแบบโดยให้ใช้เทคโนโลยีของ La Sportiva เอง นั่นก็คือ Dual-Density FriXion® XT V-Groove™ ที่ออกแบบมาให้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว อย่างที่เราเคยพูดเสมอ La Sportiva เป็นแบรนด์ที่ออกแบบ grip ได้ดีมากๆอีกแบรนด์หนึ่ง เหนียวแน่นหนึบ ไปได้ทุกที่ โดยตัวพื้นถูกออกแบบมาในรูปฟันปลาสลับกันไปมา (chevron) ระหว่างปุ่มที่เป็นรูปตัว U  ขอบด้านนอกก็เป็นปุ่มรูปตัว U ซ้อนกันกระจายอยู่รอบรองเท้า ซึ่งช่วยในเรื่องการเกาะพื้น แม้จะเป็นพื้นโคลนเปียกๆก็เอาอยู่  บวกกับเทคโนโลยี  Impact Brake System™  ที่ช่วยในการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและมีประสิทธิภาพของเท้าจากส้นเท้าจนถึงปลายเท้าเวลาเราวิ่ง 






มาถึงการใช้งานจริงกันบ้าง

ตอนที่ซื้อคู่นี้ก็คือ ซื้อแบบไม่เคยลองไม่เคยเห็นตัวจริงเหมือนเคย เพราะตอนนั้นยังไม่มีขายในไทยเลย ต้องสั่งมาจากอังกฤษ เราไม่กังวลเรื่องคุณภาพจากที่เคยมี akasha แล้ว มั่นใจเลยว่า La Sportiva ทำรองเท้างานดีทุกคู่แน่นอน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง รองเท้าประกอบมาแบบประณีตมากกกกก เป็น All man made materials สีฟ้าสวยมากกกก เชื่อว่าใครเคยเห็น La sportive ของจริงจะต้องร้องว้าวแบบเรา

ตอนแรกที่อ่านรีวิว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  bushido เป็นรองเท้าที่ aggressive design มาก คือ hardcore สุดๆ นี่ก็ทำใจไว้แล้วว่า รองเท้าน่าจะแข็ง ซึ่งเราชอบรองเท้าเทรลแข็งๆอยู่แล้ว ปรากฏว่าของจริง แข็งมากกกก 5555 ทั้งแข็ง ทั้งแน่น แบบว่า นับความนุ่ม 100% ให้คู่นี้ 20% ละกันค่ะ! รู้เลยออกแบบมาสำหรับทางเทรลที่เป็น technical terrain อย่างแน่นอน และไม่เหมาะกับการเอามาวิ่งถนนยาวๆ เพราะลงเท้าทีหนึ่งคือ ปึ้กๆๆเลย คนที่ชอบรองเท้านิ่มน่าจะเบ้ปากเลย เทียบกับ akasha เราว่า akasha ยังมีความนุ่มความปราณีอยู่มาก bushido นี่คือ สายโหดเลย

ตอนลองวิ่งเราวิ่งกับทั้งทางเทรลและถนน ทางเทรลแถวบ้านเป็นหินเยอะ ซึ่ง bushido สามรถป้องกันเท้าจากหินได้ดีมาก เหยียบไปเลย แทบไม่รู้สึกอะไรเลย ส่วนของทางดินร่วนชื้นๆก็ทำได้ดีมาก การออกแบบ grip เป็นฟันปลา ช่วยในการไต่เนินตะกุยดินได้ดี รู้สึกมั่นใจปลอดภัย ตรงส่วนข้อเท้าก็กระชับแน่นที่เป็นอะไรที่ดีมากสำหรับรองเท้าเทรล ที่เราชอบอีกอย่างคือเรื่อง stability ส่วนขอบของ outsole จะมีปุ่มยื่นออกมาเกาะขอบๆพื้นรองเท้า เราว่าช่วยได้มากในเรื่องการทรงตัว โดยเฉพาะในทาง technical trail    

ตอนแรกเราตั้งใจจะเอา bushido ไปวิ่งงานเขาใหญ่เทรลที่ทางเละโคลนทุกปี ปรากฏปีนี้ฝนไม่ตกเลย ทางแข็งโป๊ก 555 แต่ปรากฏว่า พอใส่วิ่งจริงจัง ปัญหาเรื่องความแข็งดูเหมือนจะถูกลืม รองเท้ากระชับแน่นเป็นส่วนหนึ่งของเท้าไปเลย เจอหินเจออะไรก็ไม่ต้องกังวล วิ่งเข้าใส่เลย พอต้องวิ่งทางถนนก็พอกล้อมแกล้มไปได้ อาจเป็นเพราะเราชอบรองเท้าแข็งอยู่แล้วด้วย ที่ชอบอีกอย่างคือ รองเท้าเลอะยากค่ะ ฝุ่นไม่ค่อยเกาะเรื่องอายุการใช้งานของรองเท้าก็เป็นอะไรที่น่าพอใจ เราวิ่งกับทางแข็งๆทั้งหินทั้งถนนมาก็เยอะ พื้นยังกิ๊กอยู่เลย คิดว่าคงจะอยู่ด้วยกันไปอีกนานเลยล่ะค่ะ  




สิ่งที่ไม่ชอบ

1.         ราคา ราคาในเมืองไทย ตอนนี้ Rev Runnr เอาเข้ามาขายแล้ว ราคาไม่น่ารักเลย แต่รองเท้าคุณภาพดีจริงๆ สมราคาค่ะ
2.         ความแข็ง ขนาดเราชอบรองเท้าแข็งยังต้องปรับตัวตั้งนาน เป็นรองเท้าที่เหมาะกับสายโหดจริงๆ ย้ำว่าโหดจริงๆ!!
3.         หน้าแคบ คู่นี้หน้าแคบกว่า Akasha แนะนำให้ลองไซส์ก่อน อาจต้องขยับไซส์ไปครึ่งเบอร์หรือหนึ่งเบอร์จึงจะใส่สบายค่ะ
4.         ไซส์รองเท้าสำหรับผู้หญิงในเมืองไทย ไม่แน่ใจว่า Rev Runnr เอาคู่ใหญ่มาขายบ้างหรือยัง จากที่มีแต่ไซส์เล็กๆ

สรุป Bushido เป็นอีกรุ่นจาก La Sportiva ที่ทำออกมาได้งานดีมาก เราชอบนะคะ เป็นเหตุผลส่วนตัวที่ประทับใจในแบรนด์นี้ เพราะเขาคิดเยอะ คิดมาอย่างดี มีจุดยืนของแบรนด์ที่ชัดเจนมาตลอด ชอบสนับสนุนอะไรแบบนี้

ส่วนตัวคิดว่า bushido เหมาะกับการวิ่งเทรลในสภาพพื้นผิวที่เป็น technical terrain ที่สุด ทางนิ่มๆโคลนๆเละๆใบไม้หนาๆ แบบวิ่งในป่าดงดิบชื้นๆอะไรประมาณนั้น งานเละ งานล้ม ต้องคู่นี้ แนะนำสายโหดทุกคน ไม่ควรพลาด สมเป็นวิถีนักรบจริงๆ !


วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

Ultra trail NAN 50k (54K) Mountain, Corn Fields, Sun and Tan Lines! 21/10/2017


ตั้งแต่เริ่มวิ่งเทรลมา ก็คิดมาตลอดว่าน่าจะมีคนจัดงานวิ่งเทรลที่เมืองน่านบ้าง เพราะมีภูเขาเยอะแยะ อากาศก็ดี สนามบินก็มีเดินทางสะดวก ที่สำคัญเป็นบ้านเกิดของเรา เรารู้ดีว่าคนน่านอัธยาศัยดี ต้องให้การต้อนรับนักวิ่งเป็นอย่างดีแน่ๆ จนมาทราบข่าวว่าจะมีงานวิ่งเทรลเกิดขึ้นที่น่าน ไม่ใช่งานธรรมดาด้วย เป็น Ultra trail ที่มีระยะสูงสุดถึง 100 กิโล! งานนี้จัดขึ้นที่อำเภอปัว มีระยะให้เลือกคือ 100 , 50 และ15 กิโล เราเลือกลง 50 กิโลไป โดยเส้นทางวิ่งจะเริ่มต้นที่หมู่บ้านศิลาเพชร ก่อนจะไต่ขึ้นเขาไปตามหุบเขา ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านของชาวบ้านบนเขา มีส่วนที่ต้องผ่านป่า ข้ามลำธาร ก่อนจะวิ่งกลับมาเข้าเส้นชัยที่หมู่บ้านศิลาเพชรเหมือนเดิม ระยะทางรวมทั้งหมด 54.6 กิโลเมตร ความชันสะสมรวมประมาณ 2000 กว่าเมตร ในเวลา cut off ที่นานจนน่าหวาดระแวง นั่นคือ 16 ชั่วโมง!

elevation gain 


map

หลังจากจบ cm6 เราก็ไม่ได้วิ่งยาวๆหรือลงรายการไหนอีก ช่วง 2 เดือนก่อนงานน่าน ก็ทำการ recovery ตัวเอง วิ่งรักษาความฟิต โดยเน้นไปที่การซ้อมกับเนินแถวบ้านอีกเช่นเคย สภาพร่างกายสมบูรณ์ดีไม่มีอาการบาดเจ็บ สำหรับการวางแผนการวิ่ง ก็เช่นเคย เราไม่ชอบวางแผน ไม่ชอบกำหนดเวลาจบ ชอบวิ่งไปเจอสถานการณ์จริงเลย งานนี้เลยดูแค่จุด checkpoint และเวลา cut off เป็นหลัก สิ่งที่กังวลคงเป็นเรื่องฝน เพราะยังไม่หมดหน้าฝน ถ้าเจอฝนขึ้นมา อาจวิ่งจบช้ากว่าปกติ และความขี้เกียจในการจัดของลงเป้ เพราะงานนี้ระยะ 50 กิโลไม่มี drop bag ต้องวางแผนเรื่องการกินเอาเอง เรามักจะเตรียมของเผื่อในกรณีที่ไม่ต้องหวังพึ่งของกินที่จุด check point อยู่แล้ว งานนี้เลยแบกของค่อนข้างหนัก


เช้าวันวิ่งพี่หนุ่ยก็ขับรถมาส่งที่จุดสตาร์ทของงานคือ โรงเรียนชุมชนศิลาเพชร อยู่ไม่ไกล​จากเมืองเลย เดินทางสะดวก นักวิ่ง 50 กิโลมีจำนวนไม่มาก 200 กว่าคนเท่านั้น บรรยากาศเลยเป็นกันเอง จนกระทั่งใกล้ปล่อยตัว ก็บ๊ายบายพี่หนุ่ย พี่หนุ่ยอวยพรให้วิ่งจบโดยสวัสดิภาพ ไม่ได้นัดเวลามารับ เพราะไม่อยากให้กังวล เลยบอกแค่ว่า วิ่งเสร็จแล้วจะโทรบอก ให้ไปขับรถเที่ยวเล่นตามสบายเลย ก่อนปล่อยตัวได้เจอนักวิ่งหลายท่าน ก็ถามว่าตั้งใจจะจบกี่โมง ด้วยความที่เราเป็นประเภทชอบประเมินตัวเองต่ำๆ และไม่เคยประมาทสนาม ไม่อยากกดดันตัวเองด้วยการfix เวลา เลยบอกไปว่า ถ้าเป็นไปได้ก็ขอ 12 ชั่วโมงละกันค่ะ ยกเว้นจะเจอฝน


พอเวลา 6 โมงเช้า ก็เริ่มปล่อยตัวออกจากโรงเรียน ทางวิ่งช่วง 20 กิโลแรกนี้เท่าที่ดูจากแผนที่จะเป็นทางของระยะ 15 กิโล ทางค่อนข้างราบ เริ่มวิ่งเหยาะๆไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน มีชาวบ้านออกมาให้กำลังใจด้วย จนกระทั่งตัดเข้าทางเทรลที่เป็นทางลูกรังตัดผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน ต้องกระโดดหลบขี้วัวบนทางเป็นระยะๆ เรารักษาความเร็วไว้กำลังดี เริ่มแซงชาวบ้านมาได้เรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปได้สักพัก ก็มีอาการอย่างหนึ่งที่ไม่ได้เป็นมานานแล้ว นั่นก็คือ อาการเหน็บชาที่ขาขวา... ครั้งสุดท้ายที่เจอก็คือ งาน Northface เมื่อตอนต้นปี ตอนนั้นก็ลง 50 กิโลเหมือนกัน อาการไม่มีอะไรมากเลย แค่เป็นเหน็บชาที่น่องจนถึงเท้า ทำให้รู้สึกรำคาญมากๆ เพราะต้องวิ่งโดยที่ขาขวาไม่มีความรู้สึก อาการนี้มักจะเป็นเพราะเราไม่ได้วอร์มร่างกายให้ดีก่อนวิ่ง ได้แต่นึกโทษตัวเองที่น่าจะหาเวลามาวอร์มกล้ามเนื้อให้พร้อมกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้เครียดอะไร เพราะตามปกติวิ่งไปประมาณ 10 กิโลก็จะหาย แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิ่งไปได้ประมาณ 10 กิโล ขาขวาก็กลับมามีความรู้สึก จึงกลับมาวิ่งสนุกเหมือนเดิมนับจากนั้น

ทางวิ่งช่วง 20 กิโลนี้ มีช่วงที่ต้องผ่านน้ำตกศิลาเพชรด้วย อยู่เมืองน่านมาเกือบ 20 ปี เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก น้ำตกสวยมากๆ บรรยากาศดี นักวิ่งแวะถ่ายรูปกันเป็นแถว เราได้แต่ชะโงกมองดูเท่านั้น วิ่งไปวิ่งมา ก็มาถึงจุด checkpoint แรกที่ระยะ 15 กิโล เราแวะเติมน้ำ แล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็ว เป้าหมายต่อไปคือ checkpoint2 ที่อยู่ห่างออกไป 10 กิโล ช่วงนี้ต้องวิ่งบนถนนเป็นส่วนมาก ตัดเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะเข้าเขตทางเทรลที่เป็นถนนลูกรังแข็งๆมีหินประปราย วิ่งไปวิ่งมาก็มาถึง checkpoint2 เร็วกว่าที่คิด เอาแผนที่ขึ้นมาดู ปรากฏว่า checkpoint2 ถึงก่อนระยะทางตามแผนที่ประมาณ 2 กิโล อยู่ปลายล่างของเนินยาวๆเลย ตอนนั้นก็คิดแล้วว่า ระยะ checkpoint ตามแผนที่ต้องขยับแน่นอน ที่ checkpoint2 นี้ เราเติมน้ำก่อนอีกเช่นเคย ผลไม้มีแก้วมังกรสีแดงที่เราชอบมากๆอยู่ด้วย เลยรีบคว้าเข้าปากเลย เจ้าหน้าที่ก็น่ารักมากๆช่วยเหลือกันดี ได้ยินเขาพูดย้ำๆว่า จากนี้ไปจะขึ้นยาวๆแล้ว ขึ้นไม่มีลงเลย ตุนพลังงานไว้เยอะๆ จากนั้นเราก็ไปต่อ ทางต่อไปแค่ดูก็รู้ว่าเหนื่อยหนักแน่ๆ ตามแผนที่แล้ว มันคือเนินยาว น่าจะประมาณ 8 กิโลได้ ขึ้นอย่างเดียวไม่มีลงเลย ทางจะเป็นลูกรังแข็งๆ ลัดเลาะไต่เขาไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเลยคว้า poles มากำไว้แน่นเลย ไม่ได้วิ่งเลย เดินขึ้นเขายาวๆกันไป ทางช่วงนี้จะว่าชันก็ไม่ชันมาก แต่ด้วยระยะที่ยาวถึง 8 กิโล เลยทำให้เหนื่อยกันมาก ต้องหยุดพักเป็นระยะๆ นักวิ่งบ่นกันใหญ่ถึงความไม่สิ้นสุดของเนิน คือ หายอดเนินไม่ได้เสียที


ตอนนั้นเราพยายามใช้เคล็ดลับการไต่เขาของ David Roche ที่เคยใช้ได้ผลที่ cm6 คือการโน้มตัวมาข้างหน้า ก้มต่ำๆไว้ มันทำให้เดินขึ้นเขาได้เร็วจริงๆ แต่ด้วยระยะที่ยาว เลยทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ช่วงไหนที่เหนื่อยมากๆก็หยุดพักดมยาดม สูบลมเข้าสมอง ยังดีที่สองข้างทางเป็นป่ารกครึ้ม เลยไม่มีแดด อดทนไต่เขามาเรื่อยๆในที่สุดก็ขึ้นมาถึงยอดเขาจนได้ที่กิโลที่ 30 พอขึ้นมาบนยอดเขาก็เจอหมอก อากาศครึ้มๆแดดๆสลับกันไป ทางหลังจากนี้คือ ลงเนิน เป็นทางลูกรังกับหินแข็งๆ อารมณ์ตอนนั้นแทบไม่อยากวิ่งเลยเพราะเหนื่อยกับการไต่เนินมาจนลิ้นห้อยแล้ว แต่ก็ต้องบังคับตัวเองให้วิ่ง เราวิ่งลงเนินมาเรื่อยๆ สองข้างทางก็เปิดโล่ง วิวสวยมากๆ เป็นทางที่อยู่บนยอดเขา สองข้างทางคือ นาขั้นบันไดของชาวบ้าน เป็นข้าวดอยที่ปลูกลดหลั่นกันไป มีชาวบ้านกำลังเก็บเกี่ยวข้าวอยู่ บรรยากาศดี แต่แดดเริ่มแรงแล้ว วิ่งไปวิ่งมาก็เข้าเขตหมู่บ้าน เจอทางคอนกรีตเล็กๆที่ผ่านเข้าหมู่บ้าน มีชาวบ้านมานั่งให้กำลังใจหน้าบ้านด้วย คือน่ารักมากๆ เด็กๆบางคนก็มาช่วยเชียร์ เจอเด็กคนหนึ่งยกมือไหว้ด้วย เราเลยตะโกนถามขอน้ำชาวบ้าน เพราะดูจากแผนที่ checkpoint3 นี่คือห่างออกไปจาก checkpoint2 ถึง 14 กิโล ตอนนั้นด้วยอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆเลยกังวลว่าน้ำอาจจะไม่พอ ชาวบ้านตอบกลับมาว่า มีที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน อีกไม่ไกล พอได้ยินอย่างนั้นเลยรีบวิ่งรี่เข้าไปในหมู่บ้านเลย ก็เจอจุด checkpoint3 จริงๆ อยู่ใกล้กว่าที่กำหนดในแผนที่ด้วย

ที่ checkpoint3 นี้ เรารีบเติมน้ำก่อนเช่นเคย จากนั้นก็คว้าแก้วมังกรสีแดงเข้าปาก ตอนนั้นใกล้เที่ยงแล้ว ที่ checkpoint นี้มีข้าวเหนียวไก่ทอดหมูทอดด้วย เลยหยิบมาใส่เป้เอาไว้กินระหว่างทาง เจ้าหน้าที่พูดย้ำๆว่า checkpoint ต่อไปนี่คืออีก 14 กิโลเลย นั่นแปลว่า อยู่ที่กิโลที่ 45 ได้แต่ทำใจว่า คงเป็นการเดินทางช่วงที่ยาวที่สุดของเรซนี้ เราพักไม่นานก็รีบออกไปต่อ ทางต่อไปก็คือ วิ่งออกจากหมู่บ้าน เป็นทางลูกรังแข็งๆอีกเช่นเคย เป็นทางลงเนินเตี้ยๆสลับกันไป ลัดเลาะไปมาตามหุบเขาที่เต็มไปด้วยข้าวโพด ช่วงนั้นก็เจอนักวิ่งวิ่งสวนกลับมาเรื่อยๆ ดูจากทางที่ไต่ลงเขา ก็พอเดาได้ว่า ขากลับคือต้องไต่เนินกลับขึ้นมาแน่นอน ตอนนั้นแดดแรงมากแล้ว ด้วยความขี้เกียจเลยไม่ได้หยิบปลอกแขนมาใส่ อารมณ์ตอนนั้นคือ ทำใจเอาไว้แล้ว จบงานนี้มีเกรียมแน่นอน วิ่งๆสลับเดินบ้าง ทำเวลาได้บ้างก็มาถึงจุดกลับตัวที่เรียกได้ว่า พีคมาก มันคือกระท่อมเล็กๆที่อยู่ล่างสุดของเชิงเขา ที่นั่นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ พอเราไปถึงน้องก็เอาปากกาเมจิคมาขีดที่เบอร์วิ่งด้วยใบหน้าที่นิ่งมากกกก จนอดคิดไม่ได้ว่า โดนบังคับมารึเปล่าเนี่ย😂 ตอนนั้นเหลือบไปเห็นขวดน้ำของงานวางอยู่ เลยขอให้น้องช่วยรินน้ำให้หน่อย น้องก็ยังอุตส่าห์ช่วยรินน้ำใส่แก้วให้ด้วยใบหน้าที่นิ่งเหมือนเดิม ตอนนั้นเหนื่อยก็เหนื่อย ขำก็ขำ ได้แต่ขอบคุณน้องเขา แล้วก็วิ่งกลับไป ไต่กลับขึ้นเขาที่ลงมานั่นแหละ



ขากลับอากาศร้อนๆ สวนกับนักวิ่งหลายคนที่ทยอยลงมา เจอเนินสลับไปสลับมา เลยหยิบเจลที่กินทุก 1 ชั่วโมงมากิน กินเจลไปด้วย ไต่ขึ้นเนินไปด้วย ไปๆมาก็เริ่มรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ ทำไมไม่มีนักวิ่งสวนมาเลย และทางทำไมไม่คุ้น! เลยตั้งสติมองหาริบบิ้นบอกทางก็ไม่เจอ เลยรู้ตัว ณ ตอนนั้น เราหลงทาง! ตอนนั้นจึงตั้งสติ วิ่งย้อนกลับไป ทางที่ย้อน ดันมีแยกอีกต่างหาก มาชั่งใจระหว่างจะไปทางไหน ก็เลือกทางที่ใหญ่กว่า รีบวิ่งย้อนมา ในที่สุดก็เจอริบบิ้น ดีใจมากเลย ปรากฏว่า จุดที่เราหลง เขาก็มีป้ายห้ามเข้าแล้ว แต่ด้วยความที่ก้มหน้าก้มตากินเจล ไต่เนิน เลยหลงทางเสียอย่างนั้น น่าจะเสียเวลาไปเกือบ 10 นาทีได้ นี่คือการหลงทางครั้งแรกในชีวิตนักวิ่ง และหลงทางที่งานวิ่งบ้านเกิดตัวเองด้วย น่าอายมากๆ 

พอเข้าทางหลักเราก็เริ่มวิ่งต่อ ตอนนั้นคิดว่าเสียเวลาไปมากเลยหัวร้อนเล็กน้อย เดินงุดๆขึ้นเนินเลยจนมาทันนักวิ่งคนที่อยู่ข้างหลังเราก่อนหลงทาง เรารีบแซงเขาไป ก่อนจะมาถึงจุดที่จะเป็นทางแยกลงไป checkpoint4 จุดนั้นเจอตากล้องพร้อมขวดน้ำดื่ม ด้วยความที่กังวลเรื่องน้ำกับอากาศที่ร้อน เลยขอน้ำจากตากล้องกรอกลงเป้จนเต็มเพื่อความปลอดภัยอีกครั้ง ทางต่อไปก็คือ downhill ยาวๆ ลัดเลาะลงไปกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยไร่ข้าวโพด ทางช่วงนี้เป็นทางแคบๆให้วิ่งระหว่างต้นข้าวโพดแห้งๆที่รอการเก็บเกี่ยว อยู่กลางแดดจ้าที่ไม่มีเงาร่มเลย ทางเป็น technical terrain เบาๆ เต็มไปด้วยหินลอยระเกะระกะเต็มไปหมด มีบางช่วงเป็นร่องตัววี ตอนนั้นเกิดนึกสนุกอยากลองวิ่งดูบ้างก็เลยวิ่งลงไปเลย คำของ Sage Canaday ดังก้องในหัว pick your line! ตากับสมองต้องเร็วกว่าเท้า พยายามอ้าขากว้างๆเข้าไว้ สนุกดีเหมือนกัน ณ ตอนนั้นก็นึกขอบคุณรองเท้าที่ใส่วันนั้น คือ Salomon S/lab Sense 6 เชื่อละว่า grip ของ Salomon คือ grip ที่ดีที่สุดในโลกจริงๆ มันเกาะแน่นมาก แน่นหนึบไม่มีลื่นเลย เหมือนเท้ามีแม่เหล็กเลยก็ว่าได้


ในที่สุดจากไร่ข้าวโพดแห้งๆที่ร้อนระอุ ก็ลงมาถึงปลายหุบเขา ที่ดิ่งลึกลงไปเป็นแนวต้นไม้สีเขียวพร้อมเสียงน้ำ ข้างหน้าคือ ลำธารที่ต้องข้ามนั่นเอง ช่วงนั้นมีร่มไม้แน่นเลย ทางเป็นลงเนินชันๆต้องค่อยๆหยั่งเท้าลงไป จนในที่สุดก็เจอลำธาร ที่อลังการกว่าที่คิดไว้ นักวิ่งผู้ชายคนที่ถึงก่อนเรานั่งพักอยู่ที่โขดหิน ตอนนั้นประเมินว่า น้ำเยอะขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่เปียกเลย แต่ด้วยตอนนั้นเหลืออีกแค่ 10 กิโลก็จะจบแล้ว เลยลงน้ำมันไปทั้งอย่างนั้น ไม่ได้ถอดรองเท้าเลย น้ำเย็นมากก เย็นชื่นใจสุดๆ ใจนึกอยากลงไปนอนแช่เลยทีเดียว บางช่วงก็ลึกระดับเข่าต้องเอา poles ปักๆช่วยหาที่เกาะไปเรื่อยๆ จนไปถึงอีกฝั่งของลำธาร เรายกเท้าไปมาไล่น้ำออกจากรองเท้า กำลังจะไปต่อพอเห็นทางแล้วก็ต้องเบ้ปาก ทางคือ เนินชันๆที่ต้องแหงนคอตั้งมองเลย พอทำใจได้ก็เริ่มไต่เนินมาเรื่อยๆ ทางชันและมีที่วางเท้าน้อย ต้องหามุมลงเท้าเอาเอง จุดนี้ poles ช่วยได้มากมายจริงๆ ปักๆส่งแรงไปเรื่อยๆ มีหยุดดมยาดมด้วยช่วงนี้

ต้องขอพูดถึงรองเท้าอีกนิด ขนาดว่าเอาลงน้ำเปียกโชกมาแล้ว แต่กลับแห้งไวมากๆ ระบายน้ำออกไปได้เร็วกว่าที่คิด grip ก็ยังดีงามเหมือนเดิม พาเราขึ้นเนินมาได้โดยไม่ลื่นเลย สุดท้ายก็มาถึงยอดเนินจนได้ เป็นบ้านหลังหนึ่ง ตอนนั้นรีบไต่ขึ้นมาเลย เจอนักวิ่งหลายคนนอนแผ่อยู่แคร่ใต้ถุนบ้านชาวบ้าน เจ้าของบ้านหลังนั้นเอาน้ำมาให้ด้วย เราเลยเติมน้ำจนเต็ม แล้วไหว้ขอบคุณเขา ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเป็นคนแรกในกลุ่ม checkpoint4 อยู่อีกไม่ไกลแล้ว โดยต้องผ่านบ้านชาวบ้านไป ทางเป็นถนนคอนกรีตไต่ขึ้นเนินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ช่วงไหนเป็นลงเนินเราก็วิ่งทำเวลาไปเรื่อยๆ จนเรามาทันนักวิ่งอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เป็นผู้ชายหลายคน ผู้หญิงหนึ่งคน จากที่เห็นเขาไกลๆ ก็อาศัยการเดินเร็วสูตร David เก็บกลุ่มนี้ได้ก่อนเข้า checkpoint4 ที่ checkpoint4 เป็นโรงเรียนที่มีเด็กมารอรับนักวิ่งช่วยบอกทางเต็มเลย น่ารักมากๆ พอไปถึงเติมน้ำอะไรเสร็จก็กินแก้วมังกรแดงของโปรด พักนิดหน่อยก็คว้า poles ออกเดินต่อเลย



ก่อนออกจาก checkpoint4 เจ้าหน้าที่บอกว่า เหลืออีก 8 กิโลนี้ทางจะเป็นลูกรังสลับคอนกรีต และค่อนข้างร้อน แต่จะสบายหน่อยที่เป็น downhill ล้วนๆ เอาจริงๆมันไม่ได้สบายเลย เพราะทางลูกรังมีแต่หินแข็งๆบวกกับคอนกรีตที่ผุๆพังๆ มาเจอยาวๆตอนกิโลท้ายๆนี่แอบถอนหายใจเฮือกๆ ตอนนั้นได้แต่สะกดจิตตัวเองให้วิ่งว่า ถ้าไม่ทำเวลาตอนนี้ จะไปทำตอนไหน วิ่งลงเนินมันไปเลย ก็เลยพยายามวิ่งๆ ทางช่วงนี้เจอแดดบ้าง แต่พอเข้าเขตที่เป็นทางลูกรังกลางป่าก็ไม่ค่อยมีแดดแล้ว ช่วงนี้ไม่เจอนักวิ่งคนอื่นเลย มีแต่เราวิ่งอยู่คนเดียวสบายใจดี ตอนนั้นดูนาฬิกา ยังไม่ถึง 10 ชั่วโมงเลยนี่นา เลยตั้งเป้าหมายในตอนนั้นว่าจะจบก่อน 10 ชั่วโมงให้ได้ วิ่งลงเนินยาวๆมา เหนื่อยก็พักบ้าง จนเหลือ 5 กิโลสุดท้ายเลยโทรหาพี่หนุ่ยให้มารับได้แล้ว กลายเป็นว่า พี่หนุ่ยคิดว่าเราอาจจบค่ำเลยขับรถไปเที่ยวบนดอยแล้ว เราเลยบอก ไม่เป็นไร เดี๋ยวทานข้าวรอพี่หนุ่ย drift ลงเขามาละกัน 

จากนั้นทางก็เริ่มคุ้นๆ บางส่วนคือ เนินช่วงแรกๆนั่นเอง วิ่งๆไปเรื่อยก็เข้าเขตหมู่บ้าน จนมาถึงถนนใหญ่ที่จะไปโรงเรียนที่เป็นเส้นชัย ก็เห็นนักวิ่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าไกลๆ ตอนนั้นก็ชั่งใจระหว่างจะเร่งแซงหรือว่ารักษาความเร็วดี เลยตัดสินใจจะแซงเพราะเห็นว่าเขาไม่ยอมวิ่งเลย เราวิ่งสลับกับเดินเร็วไปมาๆก็ทัน จนในที่สุดก็แซงได้ พอแซงได้เราก็วิ่งเลย วิ่งๆไปมา ก็เห็นป้ายโรงเรียนชุมชมศิลาเพชรข้างหน้า อ้าว นั่นเส้นชัยนี่นา ตอนนั้นเลยรวมพลังวิ่งเข้าไป มีคนปรบมือให้กำลังใจ พิธีกรประกาศว่าเป็นนักวิ่งผู้หญิงอีกคนมาแล้ว เรายิ้มๆไปตลอดทาง ก่อนเข้าเส้นชัยมี sprint เล็กน้อย เข้าเส้นชัยสวยๆไปด้วยเวลา 9 ชั่วโมง 39 นาที 11 วินาที เป็นผู้หญิงคนที่ 9 จากทั้งหมด 96 คน และเป็นนักวิ่งคนที่ 33 จากทั้งหมด 292 คน เข้าก่อน cut off ไปเกือบ 7 ชั่วโมง 


ตอนเข้าเส้นชัย 
ผลการแข่งขัน :)

มาดูสภาพร่างกายและการประเมินตัวเองหลังแข่งกันบ้าง งานนี้ไม่มีตะคริวมาเยือนอีกเช่นเคย ไม่ได้ฉีดสเปรย์อะไรเลย อาการบาดเจ็บจริงจังก็ไม่มี มีแต่เมื่อยล้าตามปกติ เมื่อยหนักหน่อยก็คือที่น่อง พักไม่กี่วันก็กลับมาวิ่งได้ ส่วนผิวของเราจากการตากแดดที่ไร่ข้าวโพดก็คล้ำลงมาพอสมควร นี่คือชีวิตของนักวิ่ง Ultra สินะ การประเมินผลงาน จุดที่มีปัญหาคือ การเดินเร็วก็พัฒนาขึ้น เดินเร็วกว่าเดิม ทาง downhill ก็เอาตัวรอดได้ แต่คงต้องฝึกวิ่งลงให้เร็วกว่านี้โดยเฉพาะช่วงกิโลท้ายๆ และเรื่อง หลงทาง งานหน้าคงต้องมีสติมากกว่านี้ อย่ามัวก้มหน้าก้มตาหรือเหม่อจนหลงทางอีก จากนี้ไปก็พักยาวๆ ลงงานเล็กงานน้อยอีก 2 งาน งานใหญ่ของเราก่อนปิดฤดูกาลที่จะเข้าหน้าร้อนก็คือ The Northface 75k



ขอขอบพระคุณพี่หนุ่ย สามีสุดที่รัก รักที่สุด😘 ผู้ที่ยอมเคลียร์งานยุ่งๆมาส่งกันวิ่งต่างจังหวัด เป็นคนเดียวและเป็นทุกๆอย่างในชีวิตการวิ่งของเรา เวลาท้อแท้ก็คิดเสมอว่า นี่พี่หนุ่ยลางานมาส่งเธอวิ่งนะ วิ่งเร็วๆหน่อยสิอะไรประมาณนี้ 555 สรุปว่า รู้สึกดีใจและภูมิใจเล็กๆที่ได้มาวิ่งในบ้านเกิด เหมือนตัวเองได้เป็นนักสู้แห่งขุนเขา 555 ผู้จัดทำการบ้านมาดีมาก งานจัดออกมาได้ดีงาม การบริหารจัดการดี ชุมชนมีส่วนร่วม บวกกับเสน่ห์ของเมืองน่านแล้ว เราหวังว่า งาน Ultra Trail NAN นี้น่าจะเป็นงานในดวงใจของใครหลายคนเลยทีเดียว :)




stats จาก suunto ค่ะ



วันศุกร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2561

Altra Torin 3.0 Review : My favorite Altra road running shoes ! รองเท้าขวัญใจสายสุขนิยม




เวลามีคนถามว่า อยากเปลี่ยนมาใช้ Altra แนะนำรุ่นไหนดี เราจะตอบเหมือนเดิมทุกครั้งนั่นก็คือ Torin!

Torin เป็นรองเท้าวิ่งถนนรุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของ Altra เราก็เป็นหนึ่งในลูกค้าประจำนั้น ใช้มาตั้งแต่ 2.0 , 2.5 จนออกรุ่นใหม่คือ 3.0 อดใจรอสีชมพูเข้าไทยมาหลายเดือน จนในที่สุดก็ได้มาครอบครองเสียที

สำหรับรุ่น 3.0 นี้ นอกจากทรงรองเท้าที่กว้างสบายเป็นมิตรกับเท้าและ Zero drop แล้ว มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมบางอย่างเข้ามา มาดูกันค่ะว่าเป็นยังไงบ้าง

1. Upper มีการเปลี่ยนโฉมใหม่ โดยใช้ Quick-Dry Air Mesh ที่โฆษณาว่า ระบายอากาศและให้ความรู้สึกที่สบายกว่าเดิม upper ตัวใหม่นี้ เรียกได้ว่าเปลี่ยนโฉมใหม่ไปเลย ดูสวย เฉี่ยว ทันสมัย มันจะมีปุ่มวาวๆอยู่ด้วย ให้ความรู้สึกถึง Mystique ใน X-Men  สีชมพูก็ดีต่อใจ สวยน่ารักมากๆ เรื่องการใช้งาน เรารู้สึกว่า มันระบายอากาศได้ดีกว่าเดิมจริงๆ เพราะรุ่น 2.5 จะหนานุ่มกว่านี้ พอเปลี่ยน upper แล้ว ความนุ่มสบายลดลง แลกกับน้ำหนักรองเท้าที่เบาลง ความกระชับและประสิทธิภาพในการระบายอากาศที่เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาก​

ตรงส่วนที่หุ้มส้นเท้า(heel cup)เทียบกับรุ่นก่อนที่มีความหนานุ่มกว่าแล้ว ก็มีการปรับเปลี่ยนให้บางลง กระชับมากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อเท้าขยับไถลไปมา บางรุ่นของ Altra จะทำข้อเท้าต่ำกว่าปกติ บวกกับตัวรองเท้าที่หน้ากว้างด้วยแล้ว ทำให้บางคนรู้สึกโหรงเหรง มีปัญหาเรื่องความกระชับตรงข้อเท้า แต่ Torin ไม่มีปัญหานี้เลย รุ่นใหม่นี้ตัว upper ใหม่ ยิ่งทำให้กระชับขึ้นไปอีก หุ้มข้อเท้าอย่างดี ใส่วิ่งอย่างมั่นใจ

ก็เพราะความกระชับที่เพิ่มขึ้นนี้อีกเช่นกันที่ทำให้ไซส์รองเท้าของเราต้องขยับขยาย จากเดิมที่ใส่ US 8.5 มาตลอด ต้องขยับเป็น US 9 ถึงจะพอดี สำหรับลูกค้าเก่า Altra แนะนำให้ลองก่อนซื้อค่ะ

2. Midsole Altra ยังคงใช้ midsole ตัวเดิม คือ EVA , A-Bound top layer และ Inner Flex™ Inner Flex™ ถูกออกแบบให้เป็นร่องที่มีความยืดหยุ่นคล้ายตารางอยู่ตรงmidsole ที่จะช่วยให้เราสามารถวางเท้าเวลาวิ่งได้ตามที่ต้องการ EVA และA-Boundยังช่วยเด้งส่งแรง ลดแรงกระแทกพื้นและช่วยในการสปริงตัว เพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งให้ดียิ่งขึ้น

3. Outsole มองเผินๆเหมือนกับว่าไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร แต่ Altra ก็ได้พัฒนา FootPod™ เทคโนโลยีตัวเดิมจากรุ่นก่อนๆขึ้นมาใหม่ โดยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นรับกับฝ่าเท้าทั้งในส่วนของกระดูกและเส้นเอ็น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวและการวางเท้าเวลาวิ่งได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น

4. Fit4Her อันนี้สำหรับสาวๆโดยเฉพาะ Altra เค้ามีความพิถีพิถันในการออกแบบว่า รองเท้าผู้หญิงจะถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้สอดคล้องกับรูปเท้าของผู้หญิงที่มีความแตกต่างจากของผู้ชาย ซึ่งมีถึง 9 ข้อแน่ะ

- Narrower Heel
- Female-Specific Midsoles
- Longer Arch and Narrower Midfoot
- Higher Instep
- Female-Specific Cushioning
- Female-Specific Metatarsal Positioning
- Female-Specific Last and Upper Fit
- Female-Specific Shape
- Female-Specific Outsoles
มีความใส่ใจเอาใจสาวๆมากๆ น่ารักเนาะ​

มาถึงการใช้งานจริง ความรู้สึกแรก คือ วิ่งไปสามสี่ก้าวแล้วยิ้มเลย มันดีมากกกกก มันให้ความรู้สึกเฟิร์ม กระชับ มั่นใจ และสบายเท้าไปพร้อมกัน เป็นความรู้สึกที่ทำให้วิ่งสนุก เคยเป็นกันมั้ยคะ กับรองเท้าบางคู่เราจะมีความรู้สึกผูกพัน เชื่อใจว่าวันไหนที่เราหยิบมันมาใส่ มันจะไม่ทำให้เราผิดหวัง วันนั้นเราจะวิ่งอย่างมีความสุข นั่นแหละ Torin คู่นี้คือ ความรู้สึกนั้นเลย

เปรียบเทียบกับรุ่น 2.5 แล้ว เราชอบกว่าเดิมมาก มันให้ความรู้สึกที่ปราดเปรียว กระชับกว่าเดิม ในขณะที่ยังคงใส่สบายมากๆ รู้สึกได้ว่า รองเท้าเกาะถนนกว่าเดิม ทำให้มีความมั่นใจในการวางเท้ามากขึ้น ตัวรองเท้าแม้จะจัดอยู่ในกลุ่ม High Cushioned คือ ส้นหนา แต่กลับให้ความรู้สึกที่มั่นคง ไม่ยวบยาบ แถมยังเด้งส่งแรงได้ดีอีกต่างหาก เห็นส้นหนาๆแบบนี้ จะวิ่งเพซ4 เพซ5 ก็ทำได้น้าาา​ 

มาถึงส่วนที่เราคิดว่าควรปรับปรุงบ้าง เห็นชมมาตลอดก็มีส่วนที่ไม่ชอบเหมือนกันนะคะ อย่างแรกคือ เชือกรองเท้า มันสั้นไปนิดนึง ถึงแม้ว่ามันจะยาวกว่ารุ่นที่แล้วที่ขี้เหนียวเชือกมากๆ  แต่ก็ยังยาวไม่พอสำหรับบางคนที่อยากจะร้อยเชือกรองเท้าในรูด้านบนสุดอยู่ดี ใครที่อยากร้อยเชือกรูบนสุดเพื่อความกระชับขั้นสุดแล้ว อาจต้องเปลี่ยนเชือกรองเท้าค่ะ อีกอย่างที่ไม่เชิงว่าไม่ชอบ แต่มันทำให้เกิดปัญหากวนใจเล็กน้อยตอนวิ่งก็คือ Outsole ที่จะมีช่องเป็น​ร่อง​ๆ​ เวลาวิ่งบางครั้งหินจะเข้าไปติด ทำให้วิ่งแล้วมีเสียงแกร๊กๆรู้สึกรำคาญจนต้องหยุดเขี่ยออก เป็นมาตลอด 3 รุ่นจนชินแล้ว 

สรุป รู้สึกกลับมาตกหลุมรัก Torin อีกแล้วววว  จากที่เคยนอกใจไปหา Escalante แต่ Torin ก็กลับมาทวงตำแหน่งลูกรักคืนได้ในที่สุด มันเหมาะกับนักวิ่งสายสุขนิยมมากๆค่ะ หรือจะเป็นสายแข็งที่อยากให้รางวัลเท้าตัวเองในวัน Recovery Day สบายๆก็ได้​ เป็นรองเท้าที่ไปได้ทุกระยะ Fun Run ยัน Ultra จะวิ่งใกล้ๆมุ้งมิ้ง ไปจนถึงวิ่งไกล ถึงไกลมากๆ ไม่ว่าระยะไหนมันจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน เชียร์จริงจัง!​

** สำหรับหลายคนที่กังวลเรื่อง Zero drop ว่าจะทำให้เกิดการบาดเจ็บรึเปล่า... ส่วนตัวแล้ววิ่งกับ Altra มาจะ 3 ปีแล้ว เรามีรองเท้าหลายคู่ หลาย drop ไม่เจอปัญหานี้เลยค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนรองเท้าใหม่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่อยากลองรองเท้า Zero drop ทาง Altra แนะนำว่า รองเท้าคู่แรกที่ควรจะใช้ในการก้าวสู่โลกของ Zero drop ก็คือ Torin คู่นี้นั่นเอง ของเค้าดีจริงๆน้าาาา



วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2561

Gear Reviw: Julbo Performance Photochromic Running Sunglasses>> Julbo Breeze Zebra & Julbo Race2.0 Zebra light

มีนักวิ่งคนไหนติดใส่แว่นกันแดดตอนวิ่งไหมคะ? เราเป็นคนหนึ่งที่เรียกได้ว่า ติดใส่แว่นตอนวิ่งมากๆ แว่นกันแดดนอกจากจะมีประโยชน์ปกป้องตาเราจากรังสี UV แล้ว สำหรับนักวิ่ง City Run บ่อยๆแบบเรา แว่นกันแดดจะช่วยป้องกันฝุ่นเข้าตาได้เป็นอย่างดี ใส่วิ่งตอนกลางคืนเปิด Headlamp ก็กันแมลงบินเข้าตาได้อีกด้วย เรียกได้ว่า เป็นการลงทุนกับอวัยวะของร่างกายที่สำคัญไม่แพ้ขาเลยสำหรับนักวิ่ง

วันนี้ตั้งใจจะมารีวิวแว่นกันแดดสำหรับนักวิ่ง เป็น performance sun protection sunglasses ก็คือ Julbo 2 รุ่นที่ใช้อยู่เป็นประจำ ก่อนอื่นขอแนะนำแบรนด์ Julbo ก่อน เชื่อว่ามีหลายคนไม่รู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน Julbo เป็นบริษัทผลิตแว่นตาจากประเทศฝรั่งเศส ได้ก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี 1888 ตั้งอยู่บนเทือกเขา Jura ใกล้ๆกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยแรกเริ่มทำแว่นตาให้กับนักขุดอัญมณี (crystal hunters)แถบเทือกเขา Chamonix กว่า 130 ปีที่ผ่านมา Julbo ได้พัฒนาแว่นกันแดดสำหรับกิจกรรม Outdoor ต่างๆมากมาย ทั้งนักเดินป่า ปีนเขา เล่นสกี นักปั่นจักรยาน รวมไปถึงกิจกรรมทางน้ำ ที่สำคัญคือ แว่นตาสำหรับนักวิ่ง ทั้งวิ่งเทรลและวิ่งถนน

ก่อนรีวิวแว่นเราต้องพูดถึงเลนส์ของ Julbo ก่อน แว่นกันแดด 2 ตัวที่จะมารีวิววันนี้ เป็นเลนส์ 2 ชนิด คือ Zebra และZebra light ฟังชื่อก็พอจะเดาได้ใช่ไหมคะ ทั้ง 2 เลนส์นี้ เป็นเลนส์ Photochromic (transitional) นั่นคือ สามารถปรับแสงได้อัตโนมัตินั่นเอง มาลองดูกันค่ะว่า เลนส์ 2 ตัวนี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

1. Zebra 2-4 lens >> from shade to light
- NXT material วัสดุชนิดพิเศษนี้ไม่มีแตกหัก (unbreakable) ตัวเลนส์ไม่ละลาย (solvent resistant) น้ำหนักเบา และเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น
- Photochromic lens ตัวเลนส์ปรับแสงได้อัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง โดย Protection Index อยู่ในประเภท 2-4 คือ แสงเข้าได้ 42 -7% ซึ่งเป็นช่วงที่กว้างมากๆ แถมยังเปลี่ยนแสงได้ในความเร็ว 22-28 วินาที!
- Exceptional antifog coating เคลือบสารป้องกันการเกิดฝ้าเกาะที่เลนส์
- Oil repellent coating เคลือบสารป้องกันการเกิดรอยน้ำมันเกาะที่เลนส์ เช่น รอยนิ้วมือเป็นต้น
- ตัวเลนส์สีน้ำตาล ช่วยในเรื่องทัศนวิสัย ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น


2. Zebra Light 1-3 lens >> From dawn to dusk
เลนส์ Zebra Light มีคุณสมบัติที่เหมือนกับ Zebra ทุกประการ คือ NXT material,เคลือบสารป้องกันการเกิดฝ้าเกาะที่เลนส์,เคลือบสารป้องกันการเกิดรอยน้ำมันเกาะที่เลนส์,ตัวเลนส์สีน้ำตาล แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ คุณสมบัติของ Photochromic lens ที่ตัวเลนส์ยังคงปรับแสงได้อัตโนมัติ ใน Protection Index อยู่ในประเภท 1-3 คือ แสงสามารถเข้าได้ 80% ถึง 16% ใช้ความเร็วในการเปลี่ยนแสง 22-28 วินาที โดยมีเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้ามาคือ NTS Technology (Not temperature sensitive) คือ การทำงานการปรับแสงของเลนส์ Photochromic จะทำงานอย่างเสถียรไม่ว่าจะอยู่ภายใต้อุณหภูมิเท่าใดก็ตาม เข้าใจง่ายๆก็คือ เลนส์ Zebra light จะใสกว่า สว่างกว่า Zebra




และแล้วก็มาถึงแว่นกันแดด 2 รุ่นที่เราจะรีวิวในวันนี้ ตัวแรกก็คือ

** Julbo Breeze Zebra 2-4 lens **
นิยามของ Breeze ก็คือ 100% FEMININE AND 100% PERFORMANCE! Made in France ชัดเจนว่า แว่นกันแดดรุ่นนี้ก็คือ แว่นกันแดดที่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ เป็นแว่นกันแดดเพื่อนหญิงพลังหญิงนั่นเอง


1. Design : Breeze ถูกออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ ให้เข้ากับรูปหน้าของผู้หญิง ตัวเลนส์เป็นรูปทรงหยดน้ำ ตัวกรอบมีหลายสีสันให้เลือกทั้งสีชมพูหวานแหววสำหรับสาวหวาน ไปจนถึงสีเทาดำสำหรับสาวเท่

2. Lenses : Spectron 3CF(Polycarbonate), Zebra,Zebra Light

3. Technology :
- Panoramic ตัวเลนส์ที่กว้างสำหรับการมองเห็นได้ในมุมมองที่กว้างขวาง
- 360 degree adjustable temples ขาแว่นปรับได้ทุกทิศทางเพื่อให้กระชับเข้ากับใบหน้าที่สุด
- Grip Tech ก้านแว่นเกาะแน่นกระชับ แต่ไม่กินผม
- Full Venting ออกแบบมาโดยคำนึงถึงการหมุนเวียนของอากาศเพื่อป้องกันการเกิดฝ้า
- 3D Fit Nose ตัวยางที่เกาะจมูกของตัวแว่นสามารถปรับได้ทุกทิศทางเพื่อให้เข้าได้กับทุกทรงจมูก แถมยังเกาะแน่นไม่หลุดทุกสถานการณ์
- Optical Clip สามารถตัดคลิปสายตาเพื่อนำมาติดกับตัวแว่นได้ สำหรับคนที่ไม่ใส่คอนแทคเลนส์
- Asian Fit รูปทรงของแว่นสามารถปรับเข้ากับใบหน้าคนเอเชียได้ (หน้าบาน มีโหนกแก้ม กะโหลกไม่ลึก และมีดั้งน้อย)
- RX Trem เป็นโปรเจคที่สามารถสั่งตัดเลนส์สายตาลงบนเลนส์กันแดดได้เลย ผลิตจากแล็บในประเทศฝรั่งเศส
- RX Clip โปรเจคเดียวกับ RX Trem แต่จะเป็นในส่วนของคลิปสายตา




 3D fit nose

 Zebra lens ที่ออกสีส้มๆชัดเจน


>> การใช้งานจริง<< ตั้งแต่ได้เห็นแว่นตัวจริง แวบแรกที่รู้สึกได้เลยคือ เลนส์ใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก ตัวเลนส์โค้งมนสวยงามสีน้ำตาลส้มๆ และดูแข็งแรงทนทาน จนได้ลองวิ่งจริงๆ เราเป็นคนวิ่งทุกเวลา คือ วิ่งเช้า วิ่งเย็น วิ่งกลางคืน จนไปถึงวิ่งทั้งวันเช้ายันค่ำ เลนส์ Photochromic ตอบโจทย์มากๆ เราสามารถใส่แว่นวิ่งได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เลนส์ Zebra สามารถรับมือกับแดดที่ร้อนแรงมากๆของปากช่องได้เป็นอย่างดี ใส่วิ่งสบายตา ตัวเลนส์ที่ใหญ่ครอบตาป้องกันรังสี UV ได้เต็มที่ ในขณะเดียวกันก็มีทัศนวิสัยการมองเห็นที่ชัดเจน เวลาที่วิ่งกลางแดดเลนส์จะปรับสีเข้มขึ้นอัตโนมัติ แต่เมื่อเข้ามาที่ร่มหรือไม่มีแดด เลนส์จะสว่างขึ้นจริงๆ ใช้เวลาปรับแสงไม่นานตามที่โฆษณาไว้เลยค่ะ อย่างที่บอก เราเป็นคนชอบวิ่ง city run เจอฝุ่นตามถนนเป็นประจำ พอมาใช้ Breeze Zebra ตัวนี้ เราสามารถใส่แว่นวิ่งเพื่อป้องกันฝุ่นเข้าตาได้ตั้งแต่เย็นจนถึงค่ำได้เลย ขนาดที่ว่าใส่วิ่งตอนมืดก็ยังทำได้ ไม่มืดจนเกินไป เวลาวิ่งเทรล อยู่ในร่มต้นไม้ก็สว่างพอ มองเห็นทางได้ชัดเจน ตัวเลนส์เวลาวิ่งในวันที่ร้อนอบอ้าวแม้จะมีฝ้ามาเกาะ ก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว สามารถวิ่งได้อย่างสบายใจ

การออกแบบของแว่นกันแดด Breeze เข้ากับหน้าและกะโหลกคนเอเชียได้จริงๆ เคยเจอปัญหากันไหมคะ เวลาใส่แว่นแล้วไม่กระชับ ดั้งไม่มีให้แว่นเกาะ เวลายิ้มแล้วแว่นกระดก เราเป็นแบบนั้นเลย ด้วยความเป็นคนไม่มีดั้ง และแก้มเยอะมาก แต่กับ Breeze กระชับดีมาก ตัวยางเกาะจมูกสามารถปรับได้ทุกทิศทาง สามารถวางแว่นบนจมูกน้อยๆของเราได้โดยไม่เลื่อนหลุด ตัวขาแว่นเป็นทรงตรงยาวๆปรับได้ทุกทิศทาง กระชับและเกาะหน้า แต่ไม่กินผม ที่เป็นปัญหาใหญ่ของนักวิ่งสาวๆ สามารถถอดเข้าถอดออกได้โดยไม่ต้องกังวล
วัสดุและการประกอบแว่นกันแดด Breeze ตัวนี้ดูแข็งแรงทนทาน แม้ตัวเลนส์จะถูกยึดไว้กับกรอบแค่ด้านบน แต่ก็แข็งแรงมาก ตัวขาแว่นที่ใช้งานเป็นประจำก็มีนอตยึดไว้แน่นหนา แม้ว่าหากใช้งานไปนานๆอาจต้องมีการใช้ไขควงปรับให้แน่นบ้าง ตัวเลนส์ของ Julbo มีคุณภาพมาก เราใช้แว่นตัวนี้มา 2 ปี ตั้งแต่ซ้อมจนถึงสนามแข่ง เข้าป่าวิ่งเป็น 10 กว่าชั่วโมงก็เอาคาดหัว ใส่เป้น้ำไปด้วย เจอแรงกระแทก เจออะไรมาก็เยอะ เลนส์ยังใสกิ๊งแทบไม่มีรอย มั่นใจได้ว่าจะไม่ถลอกเหมือนบางแบรนด์แน่นอน

>>สิ่งที่ไม่ชอบ<< แม้จะเป็นแว่นตาตัวโปรด แต่ก็มีบางอย่างที่เราไม่ชอบ
- คราบเหงื่อ เราเป็นคนเหงื่อเยอะมากๆ และเหงื่อมักไหลเข้าไปในแว่นตา มีความรู้สึกว่า เลนส์ Zebra เป็นคราบได้ง่ายกว่า Zebra light ที่จะรีวิวข้างล่าง
- ทำความสะอาดยาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า ว่าเลนส์ Zebra ทำความสะอาดยากกว่า Zebra light ปกติเราจะล้างแว่นด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ ตัวเลนส์ทำให้น้ำจับตัวเป็นหยดๆไหลผ่านไป คล้ายๆใบบัว เลยต้องล้างหลายรอบ
- เนื่องจากตัวเลนส์ไม่มีกรอบด้านล่าง เวลาวางบนแก้มอันปังแมนของเรานานๆแล้วทิ้งรอยไว้ อันนี้เป็นปัญหาของแก้มเราเอง คนอื่นอาจไม่เจอค่ะ😂
- ขาแว่นไม่กินผมก็จริง แต่ด้วยเลนส์ที่ไม่มีกรอบด้านล่าง ทำให้เวลาดึงแว่นจากตาไปคาดหัวผ่านขึ้นไปทางหน้าผาก ตัวเลนส์ตรงส่วนโค้งๆใกล้กับตัวยางเกาะจมูกจะลากผมขึ้นไป พอดึงแว่นออกจากหัวเพื่อเอากลับมาใส่จะติดผมมาด้วยเล็กน้อย อันนี้ถ้าใส่หมวกหรือถอดแว่นออกจากตามาถือไว้ ก่อนจะสวมเข้าไปที่ศีรษะโดยตรงจะไม่เจอปัญหานี้




** Julbo Race 2.0 Zebra Light 1-3 lens **
นิยามของ Race 2.0 ก็คือ READY FOR ANYTHING! Made in France แว่นรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ขายดีติดต่อกันมาหลายปี แม้จะเป็นแว่นที่มีกรอบเลนส์ด้านล่างแต่ก็มีน้ำหนักเบามากๆ แค่ 26 กรัมเท่านั้นเองค่ะ


1. Design : Race 2.0 อยู่ในไลน์ Speed ออกแบบมาได้โฉบเฉี่ยวมาก น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย เพราะเป็นแว่น Unisex จึงมีสีสันที่ค่อนข้างจริงจัง สีดำ เทา น้ำเงิน เป็นต้น สำหรับนักวิ่งสาวๆใส่แล้วก็ดูจริงจังเป็น Serious Runner

2. Lenses : Spectron 3CF(Polycarbonate), Zebra,Zebra Light

3. Technology : เหมือนรุ่น Breeze ทุกอย่าง ที่เพิ่มเติมมาคือ Curved, wrapping temples ซึ่งก็คือ การออกแบบทรงกรอบแว่นที่โค้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะและสวมใส่สบายมากขึ้น







>> การใช้งานจริง<< จริงๆแล้วเราเป็นคนชอบแว่นมีกรอบมาตลอด แต่ตอนที่ซื้อ Julbo อันแรก เลือก Breeze เพราะคำว่า ออกแบบมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ ที่ผ่านมาก็คาใจมาตลอด จนกระทั่งได้รุ่น Race 2.0 มาครอบครอง สิ่งที่สังเกตได้อย่างแรกคือ น้ำหนักเบามากกกก เบากว่า Breeze อย่างรู้สึกได้ชัดเจน พอมาสังเกตการออกแบบก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมถึงเบา ตัวกรอบและขาแว่นทำมาจากวัสดุอย่างดี เราเลือกสี Tortoiseshell gray / orange เพราะชอบตรงขาแว่นด้านในและนอกที่มีแถบสีส้มอยู่ เวลาใส่วิ่งแล้วดูจริงจัง แต่ก็แอบมีลูกเล่นนิดๆ

ที่ประทับใจที่สุดนอกจากน้ำหนักที่เบาแล้วก็คือ เลนส์ Zebra Light เมื่อมองเทียบกันกับ Zebra จะเห็นได้ว่า Zebra light สว่างกว่ากันอย่างชัดเจน และมีสีส้มน้ำตาลในเฉดที่อ่อนกว่า ซึ่งพอใส่วิ่งแล้ว เรากลับรู้สึกให้มุมมองภาพที่สบายตาและสมจริงกว่า การใส่แว่นตัวนี้วิ่งในป่า หรือวิ่งตอนเย็นจนถึงกลางคืนจึงสบายตามาก มองเห็นได้ชัดเจนไม่หลอกตา ที่เรากังวลก็คือ แดดอันร้อนแรงของปากช่องมากกว่า ปรากฏว่าพอใส่ออกแดดจ้าๆแล้ว ก็ยังสบายตา สามารถปรับแสงได้เข้มพอรับมือกับแดดจ้าๆของที่นี่ได้เป็นอย่างดี

วัสดุและการประกอบยังคงได้มาตรฐานของ Julbo ตัวเลนส์มีกรอบทั้งบนล่าง แข็งแรงทนทาน ถ้าสังเกตตรงด้านข้างส่วนขอบแว่นด้านบนของเลนส์จะเว้นช่องเล็กๆไว้ระหว่างเลนส์กับกรอบเพื่อการระบายอากาศที่ดี ป้องกันการเกิดฝ้า ขาแว่นบางและปรับได้ง่ายกว่า Breeze ตัวนอตที่ยึดส่วนขาแว่นก็ดูแน่นหนาดี คุณภาพและความทนทานของเลนส์ จากที่เคยพิสูจน์มากับ Zebra คิดว่า Zebra light ก็คงไม่แตกต่างกัน ทนทาน ไม่ลอก เป็นรอยได้ยากอย่างแน่นอน

นอกจากนี้คุณสมบัติๆอื่นก็ยังมีครบ ทั้ง ตัวยางเกาะจมูก ที่ปรับได้ทุกทิศทาง ขาแว่นที่กระชับแต่ไม่กินผม ตัวแว่นยังถูกออกแบบมาให้เข้ากับหน้าคนเอเชีย กระชับ ไม่เลื่อนหลุด ส่วนตัวรู้สึกว่า Race 2.0 ตัวนี้ กระชับและใส่สบายกว่า Breeze น่าจะเป็นเพราะน้ำหนักที่เบา ขาแว่นที่เป็นทรงโค้ง และการที่มีกรอบเลนส์ด้านล่างที่ไม่ทิ้งรอยกดไว้แม้จะใส่เป็นเวลานานก็ตาม ซึ่งตัวกรอบแว่นนี้ยังช่วยให้ปัญหาที่เราเจอกับ Breeze คือ เส้นผมที่ติดระหว่างตัวยางเกาะจมูกกับเลนส์เวลาถอดแว่นแล้วลากขึ้นไปวางไว้บนศีรษะหายไปอีกด้วย เรายังค้นพบอีกว่าเลนส์ Zebra light เกิดคราบได้ยากกว่า Zebra เช่นรอยนิ้วมือ หรือรอยเหงื่อ อีกทั้งยังทำความสะอาดได้ง่ายกว่าด้วยค่ะ ล้างน้ำสบู่แค่รอบเดียวก็ใสกิ๊ง



>>สิ่งที่ไม่ชอบ<< ตั้งแต่ซื้อมายังไม่เจอสิ่งที่ไม่ชอบจาก Race 2.0 นี้เลยค่ะ จะว่าเราเห่อของใหม่ก็ได้ 555 คือ ถูกใจทั้งการออกแบบ และเลนส์ ชอบหมดเลย 
สรุป แว่นตา Julbo มีคุณภาพสูง ทั้งเลนส์ กรอบ การออกแบบต่างๆสมแล้วที่มีเป้าหมายของแบรนด์ที่จะเป็น outdoor spirit in the eyewear market โดยเฉพาะตัวเลนส์ ของเขาดีจริงๆ อยากให้ทุกคนได้ลองค่ะ 

Julbo มีหลายรุ่น หลายเลนส์ให้เลือก เราแนะนำว่า เลือกเลนส์ที่ถูกใจก่อนว่า อยากใช้เลนส์แบบไหน เช่น คนที่ชอบวิ่งทั้งวัน หรือวิ่งสายๆ เจอแดดเยอะๆ ดวงตาเซนซิทีฟ น่าจะชอบเลนส์ Zebra ส่วนคนที่ชอบวิ่งเช้า วิ่งเย็น วิ่งกลางคืน ชอบวิ่งเทรลหรือวิ่งในที่ร่มมากๆ ดวงตาไม่เซนซิทีฟ จะเหมาะกับเลนส์ Zebra Light มากกว่า จากนั้นจึงเลือกรุ่นที่ชอบ Julbo ทำเลนส์มาครบเกือบทุกแบบกับทุกรุ่นเลยค่ะ

 Race 2.0 (บน) vs Breeze (ล่าง)

 Breeze(ซ้าย) vs Race 2.0 (ขวา)

  Breeze(ขวา) vs Race 2.0 (ซ้าย)

 Race 2.0 (ล่าง) vs Breeze (บน)

Race 2.0 (บน) vs Breeze (ล่าง)

Gear Review: Altra Solstice >> Excellent choice for a racing flat lover!

นักวิ่งคนไหนเป็น Racing flat lover ชอบรองเท้าวิ่งพื้นบางๆ น้ำหนักเบาๆ วิ่งแล้วตัวเบาหวิวเชิญมาทางนี้ค่า วันนี้เราจะมาพูดถึง Altra Solst...