วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

Ultra trail NAN 50k (54K) Mountain, Corn Fields, Sun and Tan Lines! 21/10/2017


ตั้งแต่เริ่มวิ่งเทรลมา ก็คิดมาตลอดว่าน่าจะมีคนจัดงานวิ่งเทรลที่เมืองน่านบ้าง เพราะมีภูเขาเยอะแยะ อากาศก็ดี สนามบินก็มีเดินทางสะดวก ที่สำคัญเป็นบ้านเกิดของเรา เรารู้ดีว่าคนน่านอัธยาศัยดี ต้องให้การต้อนรับนักวิ่งเป็นอย่างดีแน่ๆ จนมาทราบข่าวว่าจะมีงานวิ่งเทรลเกิดขึ้นที่น่าน ไม่ใช่งานธรรมดาด้วย เป็น Ultra trail ที่มีระยะสูงสุดถึง 100 กิโล! งานนี้จัดขึ้นที่อำเภอปัว มีระยะให้เลือกคือ 100 , 50 และ15 กิโล เราเลือกลง 50 กิโลไป โดยเส้นทางวิ่งจะเริ่มต้นที่หมู่บ้านศิลาเพชร ก่อนจะไต่ขึ้นเขาไปตามหุบเขา ลัดเลาะไปตามหมู่บ้านของชาวบ้านบนเขา มีส่วนที่ต้องผ่านป่า ข้ามลำธาร ก่อนจะวิ่งกลับมาเข้าเส้นชัยที่หมู่บ้านศิลาเพชรเหมือนเดิม ระยะทางรวมทั้งหมด 54.6 กิโลเมตร ความชันสะสมรวมประมาณ 2000 กว่าเมตร ในเวลา cut off ที่นานจนน่าหวาดระแวง นั่นคือ 16 ชั่วโมง!

elevation gain 


map

หลังจากจบ cm6 เราก็ไม่ได้วิ่งยาวๆหรือลงรายการไหนอีก ช่วง 2 เดือนก่อนงานน่าน ก็ทำการ recovery ตัวเอง วิ่งรักษาความฟิต โดยเน้นไปที่การซ้อมกับเนินแถวบ้านอีกเช่นเคย สภาพร่างกายสมบูรณ์ดีไม่มีอาการบาดเจ็บ สำหรับการวางแผนการวิ่ง ก็เช่นเคย เราไม่ชอบวางแผน ไม่ชอบกำหนดเวลาจบ ชอบวิ่งไปเจอสถานการณ์จริงเลย งานนี้เลยดูแค่จุด checkpoint และเวลา cut off เป็นหลัก สิ่งที่กังวลคงเป็นเรื่องฝน เพราะยังไม่หมดหน้าฝน ถ้าเจอฝนขึ้นมา อาจวิ่งจบช้ากว่าปกติ และความขี้เกียจในการจัดของลงเป้ เพราะงานนี้ระยะ 50 กิโลไม่มี drop bag ต้องวางแผนเรื่องการกินเอาเอง เรามักจะเตรียมของเผื่อในกรณีที่ไม่ต้องหวังพึ่งของกินที่จุด check point อยู่แล้ว งานนี้เลยแบกของค่อนข้างหนัก


เช้าวันวิ่งพี่หนุ่ยก็ขับรถมาส่งที่จุดสตาร์ทของงานคือ โรงเรียนชุมชนศิลาเพชร อยู่ไม่ไกล​จากเมืองเลย เดินทางสะดวก นักวิ่ง 50 กิโลมีจำนวนไม่มาก 200 กว่าคนเท่านั้น บรรยากาศเลยเป็นกันเอง จนกระทั่งใกล้ปล่อยตัว ก็บ๊ายบายพี่หนุ่ย พี่หนุ่ยอวยพรให้วิ่งจบโดยสวัสดิภาพ ไม่ได้นัดเวลามารับ เพราะไม่อยากให้กังวล เลยบอกแค่ว่า วิ่งเสร็จแล้วจะโทรบอก ให้ไปขับรถเที่ยวเล่นตามสบายเลย ก่อนปล่อยตัวได้เจอนักวิ่งหลายท่าน ก็ถามว่าตั้งใจจะจบกี่โมง ด้วยความที่เราเป็นประเภทชอบประเมินตัวเองต่ำๆ และไม่เคยประมาทสนาม ไม่อยากกดดันตัวเองด้วยการfix เวลา เลยบอกไปว่า ถ้าเป็นไปได้ก็ขอ 12 ชั่วโมงละกันค่ะ ยกเว้นจะเจอฝน


พอเวลา 6 โมงเช้า ก็เริ่มปล่อยตัวออกจากโรงเรียน ทางวิ่งช่วง 20 กิโลแรกนี้เท่าที่ดูจากแผนที่จะเป็นทางของระยะ 15 กิโล ทางค่อนข้างราบ เริ่มวิ่งเหยาะๆไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน มีชาวบ้านออกมาให้กำลังใจด้วย จนกระทั่งตัดเข้าทางเทรลที่เป็นทางลูกรังตัดผ่านทุ่งนาของชาวบ้าน ต้องกระโดดหลบขี้วัวบนทางเป็นระยะๆ เรารักษาความเร็วไว้กำลังดี เริ่มแซงชาวบ้านมาได้เรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปได้สักพัก ก็มีอาการอย่างหนึ่งที่ไม่ได้เป็นมานานแล้ว นั่นก็คือ อาการเหน็บชาที่ขาขวา... ครั้งสุดท้ายที่เจอก็คือ งาน Northface เมื่อตอนต้นปี ตอนนั้นก็ลง 50 กิโลเหมือนกัน อาการไม่มีอะไรมากเลย แค่เป็นเหน็บชาที่น่องจนถึงเท้า ทำให้รู้สึกรำคาญมากๆ เพราะต้องวิ่งโดยที่ขาขวาไม่มีความรู้สึก อาการนี้มักจะเป็นเพราะเราไม่ได้วอร์มร่างกายให้ดีก่อนวิ่ง ได้แต่นึกโทษตัวเองที่น่าจะหาเวลามาวอร์มกล้ามเนื้อให้พร้อมกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้เครียดอะไร เพราะตามปกติวิ่งไปประมาณ 10 กิโลก็จะหาย แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิ่งไปได้ประมาณ 10 กิโล ขาขวาก็กลับมามีความรู้สึก จึงกลับมาวิ่งสนุกเหมือนเดิมนับจากนั้น

ทางวิ่งช่วง 20 กิโลนี้ มีช่วงที่ต้องผ่านน้ำตกศิลาเพชรด้วย อยู่เมืองน่านมาเกือบ 20 ปี เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก น้ำตกสวยมากๆ บรรยากาศดี นักวิ่งแวะถ่ายรูปกันเป็นแถว เราได้แต่ชะโงกมองดูเท่านั้น วิ่งไปวิ่งมา ก็มาถึงจุด checkpoint แรกที่ระยะ 15 กิโล เราแวะเติมน้ำ แล้วก็ออกไปอย่างรวดเร็ว เป้าหมายต่อไปคือ checkpoint2 ที่อยู่ห่างออกไป 10 กิโล ช่วงนี้ต้องวิ่งบนถนนเป็นส่วนมาก ตัดเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะเข้าเขตทางเทรลที่เป็นถนนลูกรังแข็งๆมีหินประปราย วิ่งไปวิ่งมาก็มาถึง checkpoint2 เร็วกว่าที่คิด เอาแผนที่ขึ้นมาดู ปรากฏว่า checkpoint2 ถึงก่อนระยะทางตามแผนที่ประมาณ 2 กิโล อยู่ปลายล่างของเนินยาวๆเลย ตอนนั้นก็คิดแล้วว่า ระยะ checkpoint ตามแผนที่ต้องขยับแน่นอน ที่ checkpoint2 นี้ เราเติมน้ำก่อนอีกเช่นเคย ผลไม้มีแก้วมังกรสีแดงที่เราชอบมากๆอยู่ด้วย เลยรีบคว้าเข้าปากเลย เจ้าหน้าที่ก็น่ารักมากๆช่วยเหลือกันดี ได้ยินเขาพูดย้ำๆว่า จากนี้ไปจะขึ้นยาวๆแล้ว ขึ้นไม่มีลงเลย ตุนพลังงานไว้เยอะๆ จากนั้นเราก็ไปต่อ ทางต่อไปแค่ดูก็รู้ว่าเหนื่อยหนักแน่ๆ ตามแผนที่แล้ว มันคือเนินยาว น่าจะประมาณ 8 กิโลได้ ขึ้นอย่างเดียวไม่มีลงเลย ทางจะเป็นลูกรังแข็งๆ ลัดเลาะไต่เขาไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเลยคว้า poles มากำไว้แน่นเลย ไม่ได้วิ่งเลย เดินขึ้นเขายาวๆกันไป ทางช่วงนี้จะว่าชันก็ไม่ชันมาก แต่ด้วยระยะที่ยาวถึง 8 กิโล เลยทำให้เหนื่อยกันมาก ต้องหยุดพักเป็นระยะๆ นักวิ่งบ่นกันใหญ่ถึงความไม่สิ้นสุดของเนิน คือ หายอดเนินไม่ได้เสียที


ตอนนั้นเราพยายามใช้เคล็ดลับการไต่เขาของ David Roche ที่เคยใช้ได้ผลที่ cm6 คือการโน้มตัวมาข้างหน้า ก้มต่ำๆไว้ มันทำให้เดินขึ้นเขาได้เร็วจริงๆ แต่ด้วยระยะที่ยาว เลยทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ช่วงไหนที่เหนื่อยมากๆก็หยุดพักดมยาดม สูบลมเข้าสมอง ยังดีที่สองข้างทางเป็นป่ารกครึ้ม เลยไม่มีแดด อดทนไต่เขามาเรื่อยๆในที่สุดก็ขึ้นมาถึงยอดเขาจนได้ที่กิโลที่ 30 พอขึ้นมาบนยอดเขาก็เจอหมอก อากาศครึ้มๆแดดๆสลับกันไป ทางหลังจากนี้คือ ลงเนิน เป็นทางลูกรังกับหินแข็งๆ อารมณ์ตอนนั้นแทบไม่อยากวิ่งเลยเพราะเหนื่อยกับการไต่เนินมาจนลิ้นห้อยแล้ว แต่ก็ต้องบังคับตัวเองให้วิ่ง เราวิ่งลงเนินมาเรื่อยๆ สองข้างทางก็เปิดโล่ง วิวสวยมากๆ เป็นทางที่อยู่บนยอดเขา สองข้างทางคือ นาขั้นบันไดของชาวบ้าน เป็นข้าวดอยที่ปลูกลดหลั่นกันไป มีชาวบ้านกำลังเก็บเกี่ยวข้าวอยู่ บรรยากาศดี แต่แดดเริ่มแรงแล้ว วิ่งไปวิ่งมาก็เข้าเขตหมู่บ้าน เจอทางคอนกรีตเล็กๆที่ผ่านเข้าหมู่บ้าน มีชาวบ้านมานั่งให้กำลังใจหน้าบ้านด้วย คือน่ารักมากๆ เด็กๆบางคนก็มาช่วยเชียร์ เจอเด็กคนหนึ่งยกมือไหว้ด้วย เราเลยตะโกนถามขอน้ำชาวบ้าน เพราะดูจากแผนที่ checkpoint3 นี่คือห่างออกไปจาก checkpoint2 ถึง 14 กิโล ตอนนั้นด้วยอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆเลยกังวลว่าน้ำอาจจะไม่พอ ชาวบ้านตอบกลับมาว่า มีที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน อีกไม่ไกล พอได้ยินอย่างนั้นเลยรีบวิ่งรี่เข้าไปในหมู่บ้านเลย ก็เจอจุด checkpoint3 จริงๆ อยู่ใกล้กว่าที่กำหนดในแผนที่ด้วย

ที่ checkpoint3 นี้ เรารีบเติมน้ำก่อนเช่นเคย จากนั้นก็คว้าแก้วมังกรสีแดงเข้าปาก ตอนนั้นใกล้เที่ยงแล้ว ที่ checkpoint นี้มีข้าวเหนียวไก่ทอดหมูทอดด้วย เลยหยิบมาใส่เป้เอาไว้กินระหว่างทาง เจ้าหน้าที่พูดย้ำๆว่า checkpoint ต่อไปนี่คืออีก 14 กิโลเลย นั่นแปลว่า อยู่ที่กิโลที่ 45 ได้แต่ทำใจว่า คงเป็นการเดินทางช่วงที่ยาวที่สุดของเรซนี้ เราพักไม่นานก็รีบออกไปต่อ ทางต่อไปก็คือ วิ่งออกจากหมู่บ้าน เป็นทางลูกรังแข็งๆอีกเช่นเคย เป็นทางลงเนินเตี้ยๆสลับกันไป ลัดเลาะไปมาตามหุบเขาที่เต็มไปด้วยข้าวโพด ช่วงนั้นก็เจอนักวิ่งวิ่งสวนกลับมาเรื่อยๆ ดูจากทางที่ไต่ลงเขา ก็พอเดาได้ว่า ขากลับคือต้องไต่เนินกลับขึ้นมาแน่นอน ตอนนั้นแดดแรงมากแล้ว ด้วยความขี้เกียจเลยไม่ได้หยิบปลอกแขนมาใส่ อารมณ์ตอนนั้นคือ ทำใจเอาไว้แล้ว จบงานนี้มีเกรียมแน่นอน วิ่งๆสลับเดินบ้าง ทำเวลาได้บ้างก็มาถึงจุดกลับตัวที่เรียกได้ว่า พีคมาก มันคือกระท่อมเล็กๆที่อยู่ล่างสุดของเชิงเขา ที่นั่นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ พอเราไปถึงน้องก็เอาปากกาเมจิคมาขีดที่เบอร์วิ่งด้วยใบหน้าที่นิ่งมากกกก จนอดคิดไม่ได้ว่า โดนบังคับมารึเปล่าเนี่ย😂 ตอนนั้นเหลือบไปเห็นขวดน้ำของงานวางอยู่ เลยขอให้น้องช่วยรินน้ำให้หน่อย น้องก็ยังอุตส่าห์ช่วยรินน้ำใส่แก้วให้ด้วยใบหน้าที่นิ่งเหมือนเดิม ตอนนั้นเหนื่อยก็เหนื่อย ขำก็ขำ ได้แต่ขอบคุณน้องเขา แล้วก็วิ่งกลับไป ไต่กลับขึ้นเขาที่ลงมานั่นแหละ



ขากลับอากาศร้อนๆ สวนกับนักวิ่งหลายคนที่ทยอยลงมา เจอเนินสลับไปสลับมา เลยหยิบเจลที่กินทุก 1 ชั่วโมงมากิน กินเจลไปด้วย ไต่ขึ้นเนินไปด้วย ไปๆมาก็เริ่มรู้สึกตัวว่า เอ๊ะ ทำไมไม่มีนักวิ่งสวนมาเลย และทางทำไมไม่คุ้น! เลยตั้งสติมองหาริบบิ้นบอกทางก็ไม่เจอ เลยรู้ตัว ณ ตอนนั้น เราหลงทาง! ตอนนั้นจึงตั้งสติ วิ่งย้อนกลับไป ทางที่ย้อน ดันมีแยกอีกต่างหาก มาชั่งใจระหว่างจะไปทางไหน ก็เลือกทางที่ใหญ่กว่า รีบวิ่งย้อนมา ในที่สุดก็เจอริบบิ้น ดีใจมากเลย ปรากฏว่า จุดที่เราหลง เขาก็มีป้ายห้ามเข้าแล้ว แต่ด้วยความที่ก้มหน้าก้มตากินเจล ไต่เนิน เลยหลงทางเสียอย่างนั้น น่าจะเสียเวลาไปเกือบ 10 นาทีได้ นี่คือการหลงทางครั้งแรกในชีวิตนักวิ่ง และหลงทางที่งานวิ่งบ้านเกิดตัวเองด้วย น่าอายมากๆ 

พอเข้าทางหลักเราก็เริ่มวิ่งต่อ ตอนนั้นคิดว่าเสียเวลาไปมากเลยหัวร้อนเล็กน้อย เดินงุดๆขึ้นเนินเลยจนมาทันนักวิ่งคนที่อยู่ข้างหลังเราก่อนหลงทาง เรารีบแซงเขาไป ก่อนจะมาถึงจุดที่จะเป็นทางแยกลงไป checkpoint4 จุดนั้นเจอตากล้องพร้อมขวดน้ำดื่ม ด้วยความที่กังวลเรื่องน้ำกับอากาศที่ร้อน เลยขอน้ำจากตากล้องกรอกลงเป้จนเต็มเพื่อความปลอดภัยอีกครั้ง ทางต่อไปก็คือ downhill ยาวๆ ลัดเลาะลงไปกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยไร่ข้าวโพด ทางช่วงนี้เป็นทางแคบๆให้วิ่งระหว่างต้นข้าวโพดแห้งๆที่รอการเก็บเกี่ยว อยู่กลางแดดจ้าที่ไม่มีเงาร่มเลย ทางเป็น technical terrain เบาๆ เต็มไปด้วยหินลอยระเกะระกะเต็มไปหมด มีบางช่วงเป็นร่องตัววี ตอนนั้นเกิดนึกสนุกอยากลองวิ่งดูบ้างก็เลยวิ่งลงไปเลย คำของ Sage Canaday ดังก้องในหัว pick your line! ตากับสมองต้องเร็วกว่าเท้า พยายามอ้าขากว้างๆเข้าไว้ สนุกดีเหมือนกัน ณ ตอนนั้นก็นึกขอบคุณรองเท้าที่ใส่วันนั้น คือ Salomon S/lab Sense 6 เชื่อละว่า grip ของ Salomon คือ grip ที่ดีที่สุดในโลกจริงๆ มันเกาะแน่นมาก แน่นหนึบไม่มีลื่นเลย เหมือนเท้ามีแม่เหล็กเลยก็ว่าได้


ในที่สุดจากไร่ข้าวโพดแห้งๆที่ร้อนระอุ ก็ลงมาถึงปลายหุบเขา ที่ดิ่งลึกลงไปเป็นแนวต้นไม้สีเขียวพร้อมเสียงน้ำ ข้างหน้าคือ ลำธารที่ต้องข้ามนั่นเอง ช่วงนั้นมีร่มไม้แน่นเลย ทางเป็นลงเนินชันๆต้องค่อยๆหยั่งเท้าลงไป จนในที่สุดก็เจอลำธาร ที่อลังการกว่าที่คิดไว้ นักวิ่งผู้ชายคนที่ถึงก่อนเรานั่งพักอยู่ที่โขดหิน ตอนนั้นประเมินว่า น้ำเยอะขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะไม่เปียกเลย แต่ด้วยตอนนั้นเหลืออีกแค่ 10 กิโลก็จะจบแล้ว เลยลงน้ำมันไปทั้งอย่างนั้น ไม่ได้ถอดรองเท้าเลย น้ำเย็นมากก เย็นชื่นใจสุดๆ ใจนึกอยากลงไปนอนแช่เลยทีเดียว บางช่วงก็ลึกระดับเข่าต้องเอา poles ปักๆช่วยหาที่เกาะไปเรื่อยๆ จนไปถึงอีกฝั่งของลำธาร เรายกเท้าไปมาไล่น้ำออกจากรองเท้า กำลังจะไปต่อพอเห็นทางแล้วก็ต้องเบ้ปาก ทางคือ เนินชันๆที่ต้องแหงนคอตั้งมองเลย พอทำใจได้ก็เริ่มไต่เนินมาเรื่อยๆ ทางชันและมีที่วางเท้าน้อย ต้องหามุมลงเท้าเอาเอง จุดนี้ poles ช่วยได้มากมายจริงๆ ปักๆส่งแรงไปเรื่อยๆ มีหยุดดมยาดมด้วยช่วงนี้

ต้องขอพูดถึงรองเท้าอีกนิด ขนาดว่าเอาลงน้ำเปียกโชกมาแล้ว แต่กลับแห้งไวมากๆ ระบายน้ำออกไปได้เร็วกว่าที่คิด grip ก็ยังดีงามเหมือนเดิม พาเราขึ้นเนินมาได้โดยไม่ลื่นเลย สุดท้ายก็มาถึงยอดเนินจนได้ เป็นบ้านหลังหนึ่ง ตอนนั้นรีบไต่ขึ้นมาเลย เจอนักวิ่งหลายคนนอนแผ่อยู่แคร่ใต้ถุนบ้านชาวบ้าน เจ้าของบ้านหลังนั้นเอาน้ำมาให้ด้วย เราเลยเติมน้ำจนเต็ม แล้วไหว้ขอบคุณเขา ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเป็นคนแรกในกลุ่ม checkpoint4 อยู่อีกไม่ไกลแล้ว โดยต้องผ่านบ้านชาวบ้านไป ทางเป็นถนนคอนกรีตไต่ขึ้นเนินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ช่วงไหนเป็นลงเนินเราก็วิ่งทำเวลาไปเรื่อยๆ จนเรามาทันนักวิ่งอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เป็นผู้ชายหลายคน ผู้หญิงหนึ่งคน จากที่เห็นเขาไกลๆ ก็อาศัยการเดินเร็วสูตร David เก็บกลุ่มนี้ได้ก่อนเข้า checkpoint4 ที่ checkpoint4 เป็นโรงเรียนที่มีเด็กมารอรับนักวิ่งช่วยบอกทางเต็มเลย น่ารักมากๆ พอไปถึงเติมน้ำอะไรเสร็จก็กินแก้วมังกรแดงของโปรด พักนิดหน่อยก็คว้า poles ออกเดินต่อเลย



ก่อนออกจาก checkpoint4 เจ้าหน้าที่บอกว่า เหลืออีก 8 กิโลนี้ทางจะเป็นลูกรังสลับคอนกรีต และค่อนข้างร้อน แต่จะสบายหน่อยที่เป็น downhill ล้วนๆ เอาจริงๆมันไม่ได้สบายเลย เพราะทางลูกรังมีแต่หินแข็งๆบวกกับคอนกรีตที่ผุๆพังๆ มาเจอยาวๆตอนกิโลท้ายๆนี่แอบถอนหายใจเฮือกๆ ตอนนั้นได้แต่สะกดจิตตัวเองให้วิ่งว่า ถ้าไม่ทำเวลาตอนนี้ จะไปทำตอนไหน วิ่งลงเนินมันไปเลย ก็เลยพยายามวิ่งๆ ทางช่วงนี้เจอแดดบ้าง แต่พอเข้าเขตที่เป็นทางลูกรังกลางป่าก็ไม่ค่อยมีแดดแล้ว ช่วงนี้ไม่เจอนักวิ่งคนอื่นเลย มีแต่เราวิ่งอยู่คนเดียวสบายใจดี ตอนนั้นดูนาฬิกา ยังไม่ถึง 10 ชั่วโมงเลยนี่นา เลยตั้งเป้าหมายในตอนนั้นว่าจะจบก่อน 10 ชั่วโมงให้ได้ วิ่งลงเนินยาวๆมา เหนื่อยก็พักบ้าง จนเหลือ 5 กิโลสุดท้ายเลยโทรหาพี่หนุ่ยให้มารับได้แล้ว กลายเป็นว่า พี่หนุ่ยคิดว่าเราอาจจบค่ำเลยขับรถไปเที่ยวบนดอยแล้ว เราเลยบอก ไม่เป็นไร เดี๋ยวทานข้าวรอพี่หนุ่ย drift ลงเขามาละกัน 

จากนั้นทางก็เริ่มคุ้นๆ บางส่วนคือ เนินช่วงแรกๆนั่นเอง วิ่งๆไปเรื่อยก็เข้าเขตหมู่บ้าน จนมาถึงถนนใหญ่ที่จะไปโรงเรียนที่เป็นเส้นชัย ก็เห็นนักวิ่งผู้หญิงคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าไกลๆ ตอนนั้นก็ชั่งใจระหว่างจะเร่งแซงหรือว่ารักษาความเร็วดี เลยตัดสินใจจะแซงเพราะเห็นว่าเขาไม่ยอมวิ่งเลย เราวิ่งสลับกับเดินเร็วไปมาๆก็ทัน จนในที่สุดก็แซงได้ พอแซงได้เราก็วิ่งเลย วิ่งๆไปมา ก็เห็นป้ายโรงเรียนชุมชมศิลาเพชรข้างหน้า อ้าว นั่นเส้นชัยนี่นา ตอนนั้นเลยรวมพลังวิ่งเข้าไป มีคนปรบมือให้กำลังใจ พิธีกรประกาศว่าเป็นนักวิ่งผู้หญิงอีกคนมาแล้ว เรายิ้มๆไปตลอดทาง ก่อนเข้าเส้นชัยมี sprint เล็กน้อย เข้าเส้นชัยสวยๆไปด้วยเวลา 9 ชั่วโมง 39 นาที 11 วินาที เป็นผู้หญิงคนที่ 9 จากทั้งหมด 96 คน และเป็นนักวิ่งคนที่ 33 จากทั้งหมด 292 คน เข้าก่อน cut off ไปเกือบ 7 ชั่วโมง 


ตอนเข้าเส้นชัย 
ผลการแข่งขัน :)

มาดูสภาพร่างกายและการประเมินตัวเองหลังแข่งกันบ้าง งานนี้ไม่มีตะคริวมาเยือนอีกเช่นเคย ไม่ได้ฉีดสเปรย์อะไรเลย อาการบาดเจ็บจริงจังก็ไม่มี มีแต่เมื่อยล้าตามปกติ เมื่อยหนักหน่อยก็คือที่น่อง พักไม่กี่วันก็กลับมาวิ่งได้ ส่วนผิวของเราจากการตากแดดที่ไร่ข้าวโพดก็คล้ำลงมาพอสมควร นี่คือชีวิตของนักวิ่ง Ultra สินะ การประเมินผลงาน จุดที่มีปัญหาคือ การเดินเร็วก็พัฒนาขึ้น เดินเร็วกว่าเดิม ทาง downhill ก็เอาตัวรอดได้ แต่คงต้องฝึกวิ่งลงให้เร็วกว่านี้โดยเฉพาะช่วงกิโลท้ายๆ และเรื่อง หลงทาง งานหน้าคงต้องมีสติมากกว่านี้ อย่ามัวก้มหน้าก้มตาหรือเหม่อจนหลงทางอีก จากนี้ไปก็พักยาวๆ ลงงานเล็กงานน้อยอีก 2 งาน งานใหญ่ของเราก่อนปิดฤดูกาลที่จะเข้าหน้าร้อนก็คือ The Northface 75k



ขอขอบพระคุณพี่หนุ่ย สามีสุดที่รัก รักที่สุด😘 ผู้ที่ยอมเคลียร์งานยุ่งๆมาส่งกันวิ่งต่างจังหวัด เป็นคนเดียวและเป็นทุกๆอย่างในชีวิตการวิ่งของเรา เวลาท้อแท้ก็คิดเสมอว่า นี่พี่หนุ่ยลางานมาส่งเธอวิ่งนะ วิ่งเร็วๆหน่อยสิอะไรประมาณนี้ 555 สรุปว่า รู้สึกดีใจและภูมิใจเล็กๆที่ได้มาวิ่งในบ้านเกิด เหมือนตัวเองได้เป็นนักสู้แห่งขุนเขา 555 ผู้จัดทำการบ้านมาดีมาก งานจัดออกมาได้ดีงาม การบริหารจัดการดี ชุมชนมีส่วนร่วม บวกกับเสน่ห์ของเมืองน่านแล้ว เราหวังว่า งาน Ultra Trail NAN นี้น่าจะเป็นงานในดวงใจของใครหลายคนเลยทีเดียว :)




stats จาก suunto ค่ะ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Gear Review: Altra Solstice >> Excellent choice for a racing flat lover!

นักวิ่งคนไหนเป็น Racing flat lover ชอบรองเท้าวิ่งพื้นบางๆ น้ำหนักเบาๆ วิ่งแล้วตัวเบาหวิวเชิญมาทางนี้ค่า วันนี้เราจะมาพูดถึง Altra Solst...